เดี๋ยวนี้คนส่วนใหญ่นิยมถ่ายรูปด้วยมือถือจนลืมกล้องแบบอื่นกันแล้ว แต่จะให้โชว์แค่ในเฟสบุ๊กหรืออินสตราแกรม ก็อาจจะไม่เพียงพอ จะให้ใช้กล้องโพลารอยด์ ก็แอบเปลืองแผ่นฟิล์มถ้าหากเกิดถ่ายรูปเสีย จึงเป็นที่มาของ เครื่องปริ้นรูปภาพพกพา ที่ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ แล้วเราจะซื้อ เครื่องปริ้นรูปภาพพกพา ยี่ห้อไหนดี ในบทความนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับสเปค พร้อมวิธีการเลือกซื้อกันครับ
สารบัญ
วิธีการเลือกซื้อ เครื่องปริ้นรูปพกพา
กระดาษพิมพ์เฉพาะรุ่น ก่อนซื้อเครื่องปริ้นรูปลองดูขนาดกระดาษที่ใช้ได้ก่อน ว่าตรงความต้องการของเราหรือไม่ มีแบบสติกเกอร์ให้เลือกใช้ด้วยหรือเปล่า กระดาษแต่ละรุ่นทำมาไม่เท่ากัน เทคโนโลยีต่างกัน ทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้กระดาษขนาดอื่น ๆ หรือต่างยี่ห้อได้ และที่สำคัญกระดาษยังมีจำหน่ายหรือไม่ หาซื้อได้ยากหรือเปล่า บางรุ่นพอออกมาได้สักพัก ดันไม่มีกระดาษขาย เลิกทำตลาดขึ้นมาปริ้นไม่ได้จะลำบาก ต้องหาสั่งจากเมืองนอกเอานะครับ
ราคากระดาษพิมพ์ ถ้าราคาคือปัจจัยหนึ่งในการเลือกใช้ ก่อนจะเลือกเครื่องพิมพ์ต้องไปดูราคากระดาษก่อน บางยี่ห้อราคากระดาษตกแผ่นละ 40 บาท ราคาขนาดนี้ยอมเสียเวลาไปร้านอัดรูปน่าจะดีกว่าเนอะ แต่บางยี่ห้ออย่าง Xiaomi ราคากระดาษเฉลี่ยแค่ 10-15 บาท ถูกกว่ากันเยอะเลย แถมยังหาซื้อได้ง่ายมากใน Shopee อีกด้วยครับ
Zero Ink หรือ Dry Sublimation ถึงแม้ Dry Sublimation จะให้คุณภาพงานพิมพ์ที่ดีกว่า Zero Ink แต่ทว่าราคากระดาษที่ใช้กับเครื่องพิมพ์ที่รองรับ Dry Sublimation อาจจะทำให้คุณลาขาดกับเจ้าเทคโนโลยีนี้ได้ด้วยเหมือนกัน แต่ถ้าราคาไม่ใช่ปัญหาก็จัด Dry Sublimation เพื่อคุณภาพที่ดีกว่าได้เลยครับ
การเชื่อมต่อและแอพ ส่วนใหญ่แทบทุกเครื่องจะมีแอพสำหรับเชื่อมต่อเครื่องปริ้นรูปพกพากับมือถือกันหมดแล้ว แต่การเชื่อมต่อแต่ละเครื่อง อาจจะรองรับไม่เหมือนกัน บางรุ่นต่อ Bluetooth บางรุ่นได้เฉพาะ Wi-Fi หรือได้ทั้ง 2 อย่างเลยก็มี เวลาซื้อก็อย่าลืมดูเรื่องของการเชื่อมต่อด้วยครับ
ตารางเปรียบเทียบรีวิว “เครื่องปริ้นรูปพกพา” ยี่ห้อไหนดี
สำหรับใครที่ไม่ค่อยมีเวลาอ่าน อยากดูเครื่องปริ้นรูปพกพาแบบสั้น ๆ วางเรียงเปรียบเทียบ ราคา, ขนาดกระดาษ, ความละเอียด และอื่น ๆ เพื่อช่วยให้ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น แนะนำให้กดเข้าไปที่ปุ่มสีแดงด้านล่างได้เลย หรือถ้าอยากอ่านแบบเต็ม ๆ ก็เลื่อนผ่านปุ่มสีแดง ไปดูรีวิวสินค้าต่อเลยครับ
1. Xiaomi รุ่น Mi Pocket Photo Printer
ราคาโดยประมาณ 1,790 บาท
เครื่องปริ้นรูป หรือโฟโต้พรินเตอร์แบบพกพาที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยมีอยู่ไม่กี่ยี่ห้อ Xiaomi Mi Pocket Photo Printer เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่คนไทยเลือกใช้ อาจด้วยชื่อเสียงของแบรนด์ที่เริ่มติดหู การออกแบบถูกใจ คุณภาพสินค้าอยู่ในเกณฑ์ดี และราคาที่ผู้ใช้จับต้องได้แบบสบายกระเป๋า ถึงแม้ว่าคนทั่วไปเลือกที่จะเก็บภาพเป็นไฟล์ไว้ในโทรศัพท์มือถือ แต่จะดีกว่าไหมที่เราจะเก็บความประทับใจเอาไว้ในอัลบัม และหยิบมาเปิดดูได้โดยไม่ต้องกลัวไฟล์หาย โฟโต้พรินเตอร์เป็นตัวเลือกที่ดีและตอบโจทย์ครับ
โฟโต้พรินเตอร์ขนาดเล็กรุ่นนี้ มีขนาดเพียง 1 ฝ่ามือ สามารถสั่งพิมพ์ได้โดยเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth ด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์แบบไร้หมึก Zero Ink ให้ความละเอียด 313 x 400 dpi รองรับไฟล์ภาพ JPEG, PNG ใช้พร้อมกันได้ 3 คน ระยะเวลาการพิมพ์ภาพ 45 วินาที / 1 แผ่น ตัวเครื่องบรรจุกระดาษได้ 10 แผ่น และสามารถพิมพ์ภาพได้ 20 แผ่น / 1 รอบการชาร์จแบตเตอรี่ พรินเตอร์รุ่นนี้รองรับการพิมพ์ภาพถ่ายแบบ AR และใส่กราฟิกสวยงามเพิ่มเติมในภาพได้ การใช้งานก็ง่ายมาก เพียงเชื่อมต่อและสั่งงานผ่านแอพพลิเคชัน Mi Home ที่คุ้นเคย ตัวเครื่องใช้วัสดุพลาสติก ABS+PC แข็งแรง น้ำหนักเบา สะดวกในการพกพาใส่กระเป๋าครับ
ประเภท | เครื่องพิมพ์ภาพถ่าย, สติกเกอร์เลเบล |
ขนาด | 85 X 124 X 24.6 mm |
น้ำหนัก | 181 g |
วิธีการพิมพ์ | การพิมพ์ไร้หมึก ZINK (Zero Ink) |
ความละเอียด | 313 dpi |
การเชื่อมต่อ | Micro-USB (Charge), Bluetooth |
ขนาดกระดาษ | 50 x 76 mm |
แหล่งพลังงาน | แบตเตอรี่ (500 mAh) |
รองรับระบบปฏิบัติการ | iOS, Android |
2. Kodak รุ่น Mini 3 Retro Photo Printer Square P300R
ราคาโดยประมาณ 4,070 บาท
เครื่องปริ้นรูปแบบพกพารุ่นล่าสุดจากแบรนด์ชั้นนำด้านฟิล์มถ่ายภาพ ซึ่งก่อนหน้านี้มีออกมาแล้ว 2 รุ่น และนี่คือรุ่นที่ 3 ที่ออกแบบมาในสไตล์ย้อนยุค แต่ดู ๆ ไปก็เข้าท่าไม่ใช่เล่น Kodak Mini 3 Retro Photo Printer Square พรินเตอร์ที่ให้คุณเก็บภาพความประทับใจเอาไว้ได้ตราบนานเท่านาน ด้วยเทคโนโลยีเฉพาะของแบรนด์ ที่เรียกว่า 4PASS โดยใช้หลักการระเหิดของสีผ่านแถบฟิล์มลงบนกระดาษ ที่ให้คุณภาพของภาพออกมาเทียบเท่ากระดาษอัดจากร้านอัดภาพเลยทีเดียว แต่ต้องใช้กระดาษโฟโต้เฉพาะของ Kodak เท่านั้นนะครับ
โฟโต้พรินเตอร์รุ่นนี้ ใช้ความเร็วในการพิมพ์ภาพ 50 วินาที / 1 แผ่น และสามารถสั่งงานพิมพ์ได้ 25 แผ่น / 1 รอบการชาร์จแบตเตอรี่ การพิมพ์จะเหมือนการสไลด์เข้าออกเพื่อดึงสีทีละเลเยอร์ จุดที่น่าสนใจคือภาพที่ได้จะคมชัดเหมือนภาพถ่ายจริง (Real Photo) พร้อมคุณสมบัติ กันน้ำ กันแดด กันลายนิ้วมือ และด้วยการเคลือบลามิเนต ทำให้ภาพบนกระดาษจะมีอายุได้ถึง 100 ปีเลยทีเดียว สามารถพิมพ์ภาพแบบมีขอบได้ รองรับภาพแบบ AR และตกแต่งรูปภาพก่อนสั่งพิมพ์ได้โดยการทำงานผ่านแอพพลิเคชัน KODAK Instant ถ้าใครยังเป็นสาวกของแบรนด์นี้อยู่ ยังไงก็ซื้ออยู่แล้วจริงไหมครับ
ประเภท | เครื่องพิมพ์ภาพถ่าย |
ขนาด | 127 X 102 X 25 mm |
น้ำหนัก | 447 g |
วิธีการพิมพ์ | การพิมพ์ไร้หมึก 4PASS (Dry-Sublimation Thermal) |
ความละเอียด | Real Photo |
การเชื่อมต่อ | Micro-USB (Charge), Bluetooth |
ขนาดกระดาษ | 76 x 76 mm |
แหล่งพลังงาน | แบตเตอรี่ 740 mAh |
รองรับระบบปฏิบัติการ | iOS, Android |
3. Huawei รุ่น CV80 Pocket Photo Printer
ราคาโดยประมาณ 3,499 บาท
ในบ้านเราอาจจะรู้จักแบรนด์นี้จากสินค้าโทรศัพท์มือถือ และอินเทอร์เน็ตเราเตอร์ แต่ Huawei มีสินค้าไอทีมากมาย หนึ่งในนั้นคือเครื่องปริ้นรูปขนาดพกพาที่หน้าตาดูจะเรียบ ๆ ไม่น่าจะมีลูกเล่นอะไรหวือหวา แต่จากคุณภาพของภาพที่พิมพ์ด้วยระบบ ZINK ที่ออกมาก็ถือว่าใช้ได้ ด้วยการเชื่อมต่อที่ง่าย สะดวกในการพกพา มีหลายโหมดการพิมพ์ภาพ ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งในตัวเลือกที่น่าพิจารณาอยู่ครับ
Huawei รุ่น CV80 Pocket Photo Printer มีจุดที่น่าสนุกคือสามารถเลือกโหมดการพิมพ์ภาพได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกภาพและสั่งพิมพ์ได้เลย หรือจะวางรูปหลาย ๆ รูปและพิมพ์ลงในภาพเดียวกันก็ได้ พิมพ์ภาพติดบัตรขนาดต่าง ๆ ก็ได้ด้วย หรือจะพิมพ์นามบัตรก็มีเทมเพลตมาให้เลือกใช้ มีกระดาษที่ใช้เป็นสติกเกอร์ในตัว และขาดไม่ได้กับฟีเจอร์พิมพ์ภาพแบบ AR Scan ที่ให้ภาพเคลื่อนไหวได้เมื่อใช้กล้องจากมือถือส่อง สามารถพิมพ์ภาพที่ความละเอียด 313 x 490 dpi ระยะเวลาการพิมพ์ภาพ 57 วินาที / 1 แผ่น และพิมพ์ได้ 25 แผ่น / 1 รอบการชาร์จแบตเตอรี่ ใช้งานง่ายโดยการสั่งงานผ่านแอพพลิเคชัน Huawei Printer ส่วนกระดาษนั้นมีให้เลือกซื้ออยู่เต็มตลาดเลย ใช้ของแบรนด์ไหนก็ได้ด้วยครับ
ประเภท | เครื่องพิมพ์ภาพถ่าย, สติกเกอร์เลเบล |
ขนาด | 120 X 80 X 22.3 mm |
น้ำหนัก | 195 g |
วิธีการพิมพ์ | การพิมพ์ไร้หมึก ZINK (Zero Ink) |
ความละเอียด | 313 dpi |
การเชื่อมต่อ | Micro-USB (Charge), Bluetooth, Huawei Share |
ขนาดกระดาษ | 50 x 76 mm |
แหล่งพลังงาน | แบตเตอรี่ 500 mAh |
รองรับระบบปฏิบัติการ | iOS, Android |
4. Fujifilm รุ่น Instax Link Wide
ราคาโดยประมาณ 5,290 บาท
เก็บทุกช่วงเวลาในชีวิต “ให้ใหญ่กว่าเดิม” ด้วยจุดเด่นของขนาดภาพ ทำให้โฟโต้พรินเตอร์รุ่นนี้น่าสนใจมากขึ้นหลายเท่า เพราะในตลาดเครื่องพิมพ์ภาพถ่ายจากโทรศัพท์มือถือนั้น ก็เรียกได้ว่า Fujifilm รุ่น Instax Link Wide สามารถให้ขนาดของภาพออกมาใหญ่ในแนวกว้าง ซึ่งแตกต่างจากแบรนด์อื่น ๆ อย่างชัดเจน และยังมีฟีเจอร์ที่ให้คุณสนุกกับการพิมพ์ภาพในรูปแบบต่าง ๆ ได้อย่างไม่รู้เบื่อ มีเทมเพลตให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ถือเป็นหนึ่งในคู่แข่งที่เบียด Polaroid ได้เลยทีเดียวครับ
เครื่องปริ้นรูปรุ่นนี้ ใช้ระบบการพิมพ์แบบ 3-color exposure with OLED ให้ภาพปรากฏบนกระดาษ Instax WIDE Film ซึ่งเป็นกระดาษฟิล์มเฉพาะของทาง Fujifilm ให้ภาพออกมาคมชัดสดใสสมจริงมาก ๆ (เหมือนโพลารอย) โดยใช้เวลาในการพิมพ์เพียง 12 วินาที / 1 แผ่น และพิมพ์ภาพได้ 100 แผ่น / 1 รอบการชาร์จแบตเตอรี่ สั่งงานพิมพ์ทุกอย่างด้วยแอพพลิเคชัน Instax สามารถปรับแต่งคุณภาพสีของงานพิมพ์ได้ มีโหมด QR Print เชื่อมต่อรูปของคุณไปยังยูทูป แชร์ตำแหน่ง ซ่อนข้อความในรูป หรืออัดเสียงก็ยังได้ ถ้าคุณชอบเก็บภาพความทรงจำไว้ในอัลบัม ก็พิจารณาพรินเตอร์รุ่นนี้เป็นตัวเลือกในอันดับต้น ๆ ได้เลยครับ
ประเภท | เครื่องพิมพ์ภาพถ่าย |
ขนาด | 139 × 127.5 × 33.7 mm |
น้ำหนัก | 340 g |
วิธีการพิมพ์ | การพิมพ์ไร้หมึก 3-color exposure with OLED |
ความละเอียด | 318 dpi |
การเชื่อมต่อ | Micro-USB (Charge), Bluetooth |
ขนาดกระดาษ | 85 x 108 mm |
แหล่งพลังงาน | แบตเตอรี่ (ไม่ระบุความจุ) |
รองรับระบบปฏิบัติการ | iOS, Android |
5. Canon รุ่น SELPHY SQUARE QX10 Mobile Photo Printer
ราคาโดยประมาณ 4,590 บาท
ในตลาดพรินเตอร์มาตรฐาน Canon ถือเป็นผู้นำในตลาดมาช้านาน แต่ในกลุ่มพรินเตอร์แบบพกพานั้น อาจจะไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไหร่ ซึ่งแบรนด์นี้ก็มีของดีกับเขาด้วยเช่นกัน เครื่องปริ้นรูป Canon รุ่น SELPHY SQUARE QX10 ขอบอกเลยว่ามีจุดเด่นด้านเทคโนโลยีงานพิมพ์ใกล้เคียงเจ้าตลาดฟิล์มอย่าง Kodak กันเลยทีเดียว เพราะใช้เทคโนโลยีถ่ายโอนความร้อน Dry-Sublimation คล้ายกัน อีกทั้งยังพิมพ์ลงบนกระดาษพิเศษอเนกประสงค์ ที่เป็นสติกเกอร์เลเบลในตัว กันน้ำ กันฝุ่น กันรอยนิ้วมือ และเก็บได้ 100 ปีอีกด้วยครับ
ความเร็วในการพิมพ์ภาพที่ 43 วินาที / 1 แผ่น ก็ถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐาน และสามารถพิมพ์ภาพได้ 20 แผ่น / 1 รอบการชาร์จแบตเตอรี่ ความละเอียด 287 x 287 dpi สั่งงานพิมพ์ผ่านแอพพลิเคชัน SELPHY Photo Layout มีฟังก์ชันเลือกปรับแต่งได้ทั้งรูปแบบของภาพ ใส่ฟิลเตอร์ เพิ่มแสตมป์ ใส่กรอบ ใส่ข้อความ หรือจะใส่ลวดลายจากการวาดลงบนภาพ รวมไปถึงใส่ลายน้ำเคลือบบนผิวก็ยังได้อีกด้วย เสร็จแล้วก็สั่งพิมพ์นำไปตกแต่งอัลบัมหรือดิสเพลย์ที่ต้องการได้เลย มีข้อสังเกตอยู่นิดหน่อย ตรงนี้โฟโต้พรินเตอร์รุ่นนี้เชื่อมต่อด้วย Wi-Fi ไม่ใช่ Bluetooth ครับ ใครไม่ติดขัดตรงจุดนี้ก็เลือกใช้กันได้ตามต้องการครับ
ประเภท | เครื่องพิมพ์ภาพถ่าย, สติกเกอร์เลเบล |
ขนาด | 102.2 × 143.3 × 31.0 mm |
น้ำหนัก | 445 g |
วิธีการพิมพ์ | การพิมพ์ไร้หมึก Dry-Sublimation Thermal |
ความละเอียด | 287 dpi |
การเชื่อมต่อ | Micro-USB (Charge), Wi-Fi |
ขนาดกระดาษ | 72 x 85 mm |
แหล่งพลังงาน | แบตเตอรี่ (ไม่ระบุความจุ) |
รองรับระบบปฏิบัติการ | iOS, Android |
6. LifePrint รุ่น 3×4.5 Hyperphoto Printer
ราคาโดยประมาณ 5,690 บาท
เครื่องปริ้นรูปหรือโฟโต้พรินเตอร์ที่เชื่อมต่อกับ iOS และ Android นั้นเรียกได้ว่ามีให้เลือกในตลาดค่อนข้างเยอะ แต่ละรุ่นก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน แต่รุ่นนี้มีดีตรงไหนกันนะ นี่คือ LifePrint รุ่น 3×4.5 Photo & VDO Printer พรินเตอร์ที่ให้คุณสร้างสรรค์งานพิมพ์บนกระดาษจากกล้องของคุณ สู่เครื่องพิมพ์ของตัวเอง หรือเครื่องของเพื่อนที่เชื่อมต่ออยู่ในเครือข่าย LifePrint ได้ทั่วโลกครับ
เครื่องพิมพ์ที่ดูเรียบหรูรุ่นนี้ ใช้เทคโนโลยีการพิมพ์แบบ ZINK (Zero Ink) พิมพ์ลงบนกระดาษขนาด 3 x 4.5 นิ้ว (76.2 x 114.3 mm) ไม่ต้องกลัวว่าจะหากระดาษไม่ได้ เพราะ LifePrint มีขายอยู่แล้ว เป็นกระดาษ ZINK ที่เป็นสติกเกอร์ในตัว รองรับฟังก์ชันภาพเคลื่อนไหว AR สามารถพิมพ์ภาพ Live Photo จากอัลบัม หรือภาพจากแอพพลิเคชัน Snapchat, Vine, Twitter, Facebook, Instagram, ภาพ GIF และ Videos Embed ด้วยระบบ Hyperphoto ให้ภาพเคลื่อนไหวเหมือนมีชีวิตเมื่อส่องภาพพิมพ์จากกล้องมือถือ (เหมือนในแฮรี่ พอตเตอร์เลย) เชื่อมต่อด้วย Wi-Fi และ Bluetooth สั่งการทำงานทั้งหมดผ่านแอพพลิเคชัน LifePrint ใช้เวลาในการพิมพ์ 42 วินาที / 1 แผ่น และพิมพ์ภาพได้ 25 แผ่น / 1 รอบการชาร์จแบตเตอรี่ ก็น่าใช้ดีใช่ไหมครับ
ประเภท | เครื่องพิมพ์ภาพถ่าย, สติกเกอร์เลเบล |
ขนาด | 160 X 115 X 25.4 mm |
น้ำหนัก | 341 g |
วิธีการพิมพ์ | การพิมพ์ไร้หมึก ZINK (Zero Ink) |
ความละเอียด | 300 dpi |
การเชื่อมต่อ | Micro-USB (Charge), Wi-Fi, Bluetooth |
ขนาดกระดาษ | 76.2 x 114.3 mm |
แหล่งพลังงาน | แบตเตอรี่ (ไม่ระบุความจุ) |
รองรับระบบปฏิบัติการ | iOS, Android |
7. Canon รุ่น iNSPiC PV-123 Mini Photo Printer
ราคาโดยประมาณ 4,500 บาท
อีกหนึ่งรุ่นที่น่าสนใจจากแบรนด์ Canon ซึ่งเป็นเครื่องปริ้นรูปไร้หมึกระบบ ZINK ที่สเปคของตัวเครื่องนั้นแทบไม่แตกต่างไปจากแบรนด์อื่น ๆ ที่ใช้ระบบเดียวกันเลย ไม่ว่าจะเป็นความละเอียด 314 x 400 dpi รวมถึงน้ำหนักตัวเครื่อง และขนาดความจุของแบตเตอรี่ก็ยังเหมือนกัน ต่างกันที่ความเชื่อมั่นในแบรนด์ ซึ่งแน่ล่ะว่าแบรนด์ระดับหัวแถวของวงการพรินเตอร์นั้น ย่อมให้ความมั่นใจที่เหนือกว่าแน่นอน นี่คือโฟโต้พรินเตอร์ Canon รุ่น iNSPiC PV-123 Mini Photo Printer ครับ
ตัวเครื่องนี้ทั้งการออกแบบและสี เหมือน Power Bank มาก เหมาะกับการพกพาใส่กระเป๋ากางเกงได้สบาย ใช้เวลาในการพิมพ์ 42 วินาที / 1 แผ่น และพิมพ์ภาพได้ 20 แผ่น / 1 รอบการชาร์จแบตเตอรี่ รองรับขนาดกระดาษที่ขนาด 50 x 76 mm ก็สมชื่อ Mini อยู่แล้ว อีกทั้งยังสามารถเพิ่มกรอบรูปเก๋ ๆ ข้อความ ตกแต่งด้วยอีโมจิ สติกเกอร์ และอื่น ๆ อีกมากมายด้วยแอพพลิเคชั่น Canon Mini Print ทำภาพแบบจิ๊กซอว์ก็ยังได้ด้วย เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ที่ชอบแบรนด์นี้ครับ
ประเภท | เครื่องพิมพ์ภาพถ่าย, สติกเกอร์เลเบล |
ขนาด | 118.31 x 82.36 x 18.7mm |
น้ำหนัก | 160 g |
วิธีการพิมพ์ | การพิมพ์ไร้หมึก ZINK (Zero Ink) |
ความละเอียด | 314 dpi |
การเชื่อมต่อ | Micro-USB (Charge), Bluetooth |
ขนาดกระดาษ | 50 x 76 mm |
แหล่งพลังงาน | แบตเตอรี่ 500 mAh |
รองรับระบบปฏิบัติการ | iOS, Android |
8. HP รุ่น Sprocket 2nd Edition Photo Printer
ราคาโดยประมาณ 1,999 บาท
ครั้งแรกที่เห็นสเปคคร่าว ๆ ของเครื่องปริ้นรูป HP รุ่น Sprocket 2nd Edition Photo Printer (โดยที่ยังไม่เห็นตัวเครื่อง) ในใจคิดว่าอีกแล้วเหรอ พรินเตอร์พกพาที่ใช้เทคโนโลยีไร้หมึก ZINK มันทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้วแน่ ๆ เพราะสเปคโดยรวมนั้นคล้ายกันหมดเลย แต่เมื่อได้ดูตัวเครื่องแล้ว ก็ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว เพราะทาง HP ได้ใช้การออกแบบพื้นผิวที่แตกต่างจากแบรนด์อื่นมาก อีกทั้งยังออกแบบฝาประกบแบบแม่เหล็ก ให้แยกเปิดออกเพื่อใส่กระดาษ และประกบเข้าไปได้ง่าย ๆ และโลโก้แบรนด์เป็นห่วงหนังยื่นออกมา ดูสวยงามและสปอร์ตเลยครับ
ก่อนหน้านี้ HP ได้ออกโฟโต้พรินเตอร์ในซีรีส์นี้มาแล้ว 1 รุ่น นี่คือรุ่นที่ 2 ที่สเปคภายในอาจจะคล้ายของเดิม แต่ไม่เดิมซะทีเดียวนะ เพราะสามารถทำความเร็วในการพิมพ์โดยประมาณได้ที่ 30 วินาที / 1 แผ่น อ่านไม่ผิด 30 วินาทีจริง ๆ ถือว่าเร็วกว่าเครื่องพิมพ์ระบบ ZINK ของแบรนด์อื่นที่ใช้เวลาอย่างต่ำก็ 40 วินาทีขึ้นไป การใช้งานผ่านแอพพลิเคชัน HP Sprocket ก็สามารถเพิ่มกรอบภาพ เขียนลวดลาย และลูกเล่นทั่ว ๆ ไปได้ เลือกพิมพ์เฟรมบางเฟรมในคลิปวิดีโอก็ได้ เทมเพลตก็เยอะ และแน่นอนว่าต้องรองรับ AR อยู่แล้ว ใช้กล้องมือถือส่องรูปที่พิมพ์ออกมาให้เคลื่อนไหวในจอก็ทำได้ด้วย ที่สำคัญ ราคาออกมาสบายกระเป๋าเป็นที่สุดครับ
ประเภท | เครื่องพิมพ์ภาพถ่าย, สติกเกอร์เลเบล |
ขนาด | 80.1 X 117.6 X 24.8 mm |
น้ำหนัก | 172 g |
วิธีการพิมพ์ | การพิมพ์ไร้หมึก ZINK (Zero Ink) |
ความละเอียด | 321 dpi |
การเชื่อมต่อ | Micro-USB (Charge), Bluetooth |
ขนาดกระดาษ | 50 x 76 mm |
แหล่งพลังงาน | แบตเตอรี่ 500 mAh |
รองรับระบบปฏิบัติการ | iOS, Android |
9. Fujifilm รุ่น Instax Mini Link
ราคาโดยประมาณ 3,890 บาท
เครื่องปริ้นรูปขนาดมินิ จาก Fujifilm ที่พร้อมท้าชน Mini ทุกแบรนด์ ด้วยการออกแบบที่ไม่เหมือนใคร เจาะกลุ่มสาว ๆ แน่นอนเพราะตัวเครื่องใช้สีหวานมาก ขนาดที่จับกระชับถนัดมือพกพาสะดวก นั่งเม้ามอยกัน 5 คนก็เชื่อมต่อพรินเตอร์เครื่องเดียวกันได้เลย เพียงเชื่อมต่อแอพพลิเคชัน Instax Mini Link ก็มีฟังก์ชันแปลก ๆ ให้เล่นไม่ว่าจะเป็น ใช้ตัวเครื่องคุมการถ่ายภาพผ่านกล้องในตัวแอพพลิเคชันเองได้ พิมพ์ 2 ภาพใน 1 แผ่นด้วยการถ่าย 2 ครั้งก็ได้ ที่น่ารักสุด ๆ คือโหมดวัดความสนิทของคน 2 คนในภาพ อยากรู้ว่าเราสนิทกับเพื่อนในภาพมากแค่ไหนก็ต้องลุ้นเมื่อสั่งพิมพ์ภาพออกมา เจ๋งไหมล่ะครับ
ความเร็วในการพิมพ์นั้นก็หายห่วง เพราะใช้เวลาในการพิมพ์เพียง 12 วินาที / 1 แผ่น และพิมพ์ภาพได้ 100 แผ่น / 1 รอบการชาร์จแบตเตอรี่ ในส่วนของเทคโนโลยีการพิมพ์นั้นก็จะเป็นระบบ 3-color exposure with OLED ก็คือยิงแสงลงบนฟิล์มโพลารอยนั่นเอง ยิ่งภาพต้นฉบับมีความละเอียดมากแค่ไหน ภาพที่พิมพ์ออกมาก็จะสวยแค่นั้น เพราะสามารถไล่เฉดสีได้มากถึง 256 เฉด / สี เลยทีเดียว จุดที่ชอบมากคือเมื่อเราตีลังกาเครื่องให้ช่องปล่อยกระดาษอยู่ด้านล่าง และกดปุ่มกลางเครื่อง ก็สามารถพิมพ์ภาพสุดท้ายออกมากี่แผ่นก็ได้โดยไม่ต้องเข้าแอพพลิเคชั่น การตกแต่งก็ทำได้เหมือนกับเครื่อง Instax รุ่นอื่น ๆ ถ้าชอบในความเป็นรูปแบบโพลารอย ก็สามารถเลือกซื้อ Fujifilm รุ่น Instax Mini Link ได้เลยครับ
ประเภท | เครื่องพิมพ์ภาพถ่าย |
ขนาด | 90.3 X 34.6 X 124.5 mm |
น้ำหนัก | 209 g |
วิธีการพิมพ์ | การพิมพ์ไร้หมึก 3-color exposure with OLED |
ความละเอียด | 318 dpi |
การเชื่อมต่อ | Micro-USB (Charge), Bluetooth |
ขนาดกระดาษ | 86 x 54 mm |
แหล่งพลังงาน | แบตเตอรี่ (ไม่ระบุความจุ) |
รองรับระบบปฏิบัติการ | iOS, Android |
10. Kodak รุ่น Mini 2 Retro P210R Photo Printer
ราคาโดยประมาณ 3,500 บาท
สำหรับเครื่องปริ้นรูปขนาดเล็กแบรนด์ Kodak ที่ออกแบบมาในสไตล์เรโทรนั้น ไม่ได้มีแค่รุ่นปัจจุบันที่เป็นรุ่น Mini 3 แต่ยังมีอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ใช่รุ่นเก่าหรือตกรุ่นแต่อย่างใด เพียงแค่ออกมารองรับขนาดของกระดาษที่แตกต่างกันกับรุ่น 3 เท่านั้น (โฟโต้พรินเตอร์ขนาดเล็กทั้วไปไม่สามารถเปลี่ยนขนาดกระดาษไปจากที่กำหนดได้) นี่คือ Kodak รุ่น Mini 2 Retro P210R Photo Printer ซึ่งรุ่นนี้จะรองรับการพิมพ์ภาพบนกระดาษขนาด 4 เหลี่ยมผืนผ้า ไม่ใช่จัตุรัสเหมือนกับรุ่น Mini 3 ครับ
โฟโต้พรินเตอร์รุ่นนี้มีหน้าตาคล้าย ๆ Power Bank การใช้งานที่ง่ายมาก เพียงใส่กระดาษ เปิดเครื่อง ลิ้งเข้ามือถือ แล้วก็สั่งพิมพ์ภาพออกมาได้เลยทันทีไม่มีลีลา จะตกแต่งภาพก่อนสั่งพิมพ์หรือเปลี่ยนรูปแบบการรวมภาพก็ทำได้ตามมาตรฐานเครื่องพิมพ์ภาพถ่ายทั่วไป ด้วยแอพพลิเคชัน Kodak Photo Printer จะสั่งพิมพ์แบบเว้นขอบ หรือไร้ขอบก็ได้ คุณภาพของภาพที่ออกมาก็ยอดเยี่ยมระดับ Real Photo ด้วยเทคโนโลยี 4PASS อันลือลั่น ที่มีคุณสมบัติ กันน้ำ กันแดด กันลายนิ้วมือ และไม่ซีดจางนานนับ 100 ปี ใช้ความเร็วในการพิมพ์ภาพจากการทดสอบจริงประมาณ 60 วินาที / 1 แผ่น และสามารถสั่งงานพิมพ์ได้ 20 แผ่น / 1 รอบการชาร์จแบตเตอรี่ ถ้าชอบภาพใหญ่ ๆ รุ่นนี้ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีมากครับ
ประเภท | เครื่องพิมพ์ภาพถ่าย |
ขนาด | 76 X 133 X 25 mm |
น้ำหนัก | 245 g |
วิธีการพิมพ์ | การพิมพ์ไร้หมึก 4PASS (Dry-Sublimation Thermal) |
ความละเอียด | Real Photo |
การเชื่อมต่อ | Micro-USB (Charge), Bluetooth |
ขนาดกระดาษ | 53.34 x 86.36 mm |
แหล่งพลังงาน | แบตเตอรี่ 620 mAh |
รองรับระบบปฏิบัติการ | iOS, Android |
อ่านกันมาถึงตรงนี้คงจะได้คำตอบสำหรับ เครื่องปริ้นรูปพกพา ยี่ห้อไหนดี กันแล้วแน่เลย ก่อนซื้อก็อย่าลืมเรื่องไซต์กระดาษที่ต้องการ รวมถึงหาซื้อได้ง่ายหรือเปล่า ใครพลาดไปซื้อรุ่นที่หากระดาษยาก ลองหาสั่งตาม Amazon หรือ Aliexpress จากต่างประเทศแทน อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันคือราคากระดาษ ถ้างบประมาณคือเรื่องใหญ่ ลองไปตรวจสอบราคากระดาษ ก่อนเลือกซื้อเครื่องจะเป็นการดีที่สุด ยี่ห้อดังราคากระดาษนั้นโหดมาก สุดท้ายนี้ก็ขอให้ได้รุ่นที่ใช้งานสะดวก พิมพ์ภาพสวยถูกใจ ไม่มีปัญหากันนะครับ
นักเขียนอิสระ ที่มีประสบการณ์ในแวดวง IT Gadget มือถือ มากกว่า 5 ปี มีความรู้ความเข้าใจในรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้า IoT เป็นอย่างดี เลือกจัดอันดับสินค้าอย่างตั้งใจ ซื้อตามกันไม่มีผิดหวังแน่นอน
I really enjoyed reading this post! I’m in the market for a portable photo printer and this review has been super helpful. I’ve been looking at a few of the brands mentioned, but I think I’m leaning towards the HP Sprocket. Has anyone else had any experience with it? Thanks for taking the time to share your research and recommendations!