โรค “เซ็บเดิร์ม” เนี่ย เอาจริง ๆ มันก็ไม่ได้มีอันตรายต่อชีวิตหรอกครับ แต่ ๆๆๆๆๆๆ เวลาเกิดอาการเซ็บเดิร์มแต่ละที เล่นเอาความมั่นใจของคนเราลดฮวบเลยทีเดียวและไอ้เจ้าเซ็บเดิร์มเนี่ย ดันเกิดตรงไหนไม่เกิด ดันชอบมาเกิดบนผิวหน้าของคนเรา! จากที่หน้าตาผิวพรรณพอดูได้ ถ้าเซ็บเดิร์มแวะมาเมื่อไร หน้าพังพินาศเมื่อนั้น มีอาการผื่นแดงเต็มหน้า ถ้าเป็นหนัก ๆ ก็ผิวหน้าลอกออกมาเป็นขุย ๆ แผ่น ๆ คล้าย ๆ กับแผ่นรังแคบนหนังหัวของคนเรา หน้าแห้งแตกแบบสุด ๆ จากผิวหน้าเรียบเนียนกลายเป็นผิวหน้าถนนลูกรังดูไม่ได้เลยทีเดียว และถ้ายิ่งต้องทำงานพบปะเจอผู้คนด้วยแล้วละก็ จะเอาความมั่นใจจากที่ไหนไปเจอกันละครับบ
และที่น่าเบื่อที่สุด เจ้าเซ็บเดิร์มรักษาไม่หายขาดนะครับ เป็นอาการเรื้อรังผลุบ ๆ โผล่ ๆ น่าเบื่อมากที่สุด เพราะฉะนั้น วิธีการรักษาเซ็บเดิร์มที่ดีที่สุดคือ การป้องกันไม่ให้เจ้าเซ็บเดิร์มมันเกิดนั้นเอง ซึ่งจากประสบการณ์ของผมที่อยู่คู่กับเจ้าเซ็บเดิร์มมาอย่างยาวนานมากถึง 10 กว่าปี วันนี้จึงอยากมาขอรีวิว วิธีการที่ตัวผมคิดว่าทำแล้ว ช่วยรักษาและลดอาการของเซ็บเดิร์มลงไปได้ ไปกู้หน้าพังให้เป็นหน้าดีกันเถอะครับ ตามมาเลย
สารบัญ
รีวิว วิธีการ รักษา “เซ็บเดิร์ม” ที่ควรทำเป็นประจำ
หน้าแดง หน้าลอก หน้าพังแบบสุด ๆ แบบนี้จะกล้าออกไปเจอใครละครับ และยิ่งเวลาผมเป็นหนัก ๆ มันลามไปถึงหลังใบหู ตามซอกคอด้วยเลย เฮ้ออ ก็ต้องดูแลรักษากันไปครับ
เป็นวิธีการที่ตัวผมทำอยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ โดยผมจะเรียงลำดับความสำคัญจากบนลงล่างไปเลยว่า วิธีการไหนที่ดีที่สุดในการต่อกรกับเจ้าเซ็บเดิร์มครับ
1. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
เคยสังเกตกันไหมครับ เมื่อไรนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอแล้วละก็ เจ้าผื่นแดง ๆ เซ็บเดิร์มมาเยี่ยมเยียนตลอดเลย และจากประสบการณ์ของผมเองที่เคยทำงานหนักติดต่อกันหลายวันแล้วนอนหลับไม่เพียงพอ ช่วงนั้นนอนแค่ 3-4 ชั่วโมงต่อวันนั้น ก็เป็นช่วงที่ร่างกายโทรมมาก ๆ และเจ้าเซ็บเดิร์มก็มาแบบโหดสุด ๆ หน้าพังแบบสุด ๆ ด้วย
และจากที่ได้ต่อสู้คลุกคลีกับเจ้าเซ็บเดิร์มมาอย่างเนิ่นนาน ผมขอบอกเลยว่า “ต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ” เป็นอะไรที่สำคัญมากที่สุดและเป็นวิธีการป้องกันที่ดีที่สุด ดียิ่งกว่าการใช้สกินแคร์เสียอีก สกินแคร์ไม่ว่าจะเทพขนาดไหน ถ้านอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็เอาเจ้าเซ็บเดิร์มไม่อยู่ครับ
2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ
อย่างที่รู้กันว่า เซ็บเดิร์มเวลาเกิดแล้วมันเหมือนทำให้หน้าแห้งมาก หน้าดูไม่มีน้ำมีนวลแบบสุด ๆ ผัวหน้าก็ลอกเอา ๆ เป็นแผ่น ๆ ด้วย ทำให้พอเกิดเซ็บเดิร์มแต่ละครั้ง ผมจะพยายามดื่มน้ำเพิ่มเติมมากกว่าปกติ คิดว่าหน้าแห้งเลยต้องเติมน้ำเข้าไป และจากที่ได้สังเกตการใช้ชีวิตของตัวเองมา การดื่มน้ำมีผลดีพอ ๆ กับการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเลยครับ
3. ทานมะเขือเทศเป็นประจำเพื่อต่อสู้ รักษา “เซ็บเดิร์ม”
อย่างที่รู้ ๆ กันนะครับว่า มะเขือเทศถือว่าเป็นผักที่ช่วยบำรุงในเรื่องของผิวพรรณได้เป็นอย่างดี และเนื่องจากตัวผมเองอายุเริ่มมากขึ้น ก็เลยอยากจะบำรุงผิวพรรณตัวเองสะหน่อย หวยก็เลยมาตกที่ “การทานมะเขือเทศเป็นประจำ” โดยผมจะชอบทานมะเขือเทศราชินีวันละ 12-15 ลูก ลูกมันเล็ก ๆ ทานง่ายดีครับ ยิ่งแช่ตู้เย็นด้วย ทานสด ๆ เย็น ๆ ก็อร่อยเลย
ส่วนที่ทานมะเขือเทศเนี่ย คือไม่ได้กะทานเพื่อรักษาเซ็บเดิร์มเลยนะครับ แค่อยากบำรุงผิวหน้าผิวกายตัวเองเฉย ๆ แต่จากที่สังเกตมา ตั้งแต่ทานมะเขือเทศแล้วรู้สึกว่า เจ้าเซ็บเดิร์มมาเยี่ยมน้อยกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญ แตกต่างจากช่วงที่ไม่ทานมาก ๆ เพราะฉะนั้นใครที่ยังไม่ทานมะเขือเทศ รีบหามาทานได้เลยครับ
4. ทานแอปเปิลด้วยยิ่งดี
คือก่อนที่ผมจะทานมะเขือเทศเป็นประจำ ผมทานแอปเปิลอยู่แล้ว โดยจะทานวันละ 1 ผล จะทานสีแดงหรือสีเขียวก็ได้ เอาตามที่ชอบเลย ซึ่งจากประสบการณ์ของตัวเองก็พบว่า “แอปเปิล” มันก็ช่วยลดและรักษาเซ็บเดิร์มได้ ผมเคยสังเกตช่วงที่ทานกับไม่ทาน รู้สึกว่าตอนไม่ทานแอปเปิลเนี่ย เป็นหวัดง่ายมากและเจ้าเซ็บเดิร์มก็ชอบมาตอนเราอ่อนแอด้วย พอทานแอปเปิลเป็นประจำแล้ว เซ็บเดิร์มก็ไม่ค่อยมาเลย แต่ก็ยังมาอยู่บ้างครับ
ในความรู้สึกผม มะเขือเทศดีกว่าแอปเปิล แต่ถ้าอยากจะให้ดีสุด ๆ ผมแนะนำว่า ทานทั้งสองอย่างเลยครับ ช่วยป้องกันการมาของเซ็บเดิร์มได้ดีแบบสุด ๆ แต่ถ้านอนไม่เพียงพอก็ตกม้าตายเหมือนกันครับ
รีวิว สกินแคร์ที่ผมใช้สำหรับรักษาเซ็บเดิร์ม
จากประสบการณ์ของตัวผมเอง วิธีการจากสี่ข้อด้านบนมีความสำคัญมากกว่าการใช้สกินแคร์นะครับ โดยเฉพาะข้อ 1 และ 2 แต่ยังไงเราก็ควรที่จะบำรุงผิวหน้าเพิ่มเติม เพื่อป้องกันและรักษาเซ็บเดิร์มนั้นเอง แต่ ๆๆ เนื่องจากคนที่มีอาการของเซ็บเดิร์มเนี่ย จะทำให้ผิวหน้าค่อนข้างจะถูกจำกัดอยู่ในกลุ่ม “ผิวแพ้ง่าย” การที่จะเลือกใช้สกินแคร์อะไรต่าง ๆ ก็ควรจะเลือกจาก “ใช้แล้วหน้าไม่แพ้” เป็นข้อสำคัญสุดครับ
ต่อไปนี้ จะมารีวิวสกินแคร์ที่ผมใช้เป็นประจำเพื่อบำรุงผิวหน้า ส่วนใหญ่จะเป็นสกินแคร์ที่มีความอ่อนโยนแบบสุด ๆ และทุกตัวที่ผมใช้ ผมไม่เกิดอาการแพ้เลย แต่หน้าใครก็หน้ามันนะครับ ผมใช้แล้วไม่แพ้ ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่แพ้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเลือกกันดี ๆ ด้วย ถ้าเป็นไปได้ ผมแนะนำให้เลือกซื้อขนาดเล็กมาลองดูก่อน ถ้าใช้แล้วไม่แพ้ ใช้แล้วดีอย่างไร ค่อยไปจัดไซส์ใหญ่ทีหลังเอาครับ
1. รักษาเซ็บเดิร์ม ด้วยการใช้ Cetaphil Gentle Skin Cleanser ล้างหน้า
ราคาโดยประมาณ 170 / 298 / 420 / 749 บาท ต่อ 125 / 250 / 500 / 1,000 ml
ผมได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าหลาย ๆ ยี่ห้อ จนสุดท้ายมาลงตัวที่ Cetaphil Gentle Skin Cleanser ตัวนี้ครับ เพราะหลาย ๆ คนแนะนำว่า ตัวนี้อ่อนโยนต่อผิวมาก ๆ และทางแบรนด์เขายังยืนยันว่า อ่อนโยนมาก ๆ ถึงขนาดสามารถใช้กับผิวของเด็กทารกได้ด้วย อีกทั้งยังปราศจากทั้งน้ำหอมและสบู่ที่เป็นอีกตัวการทำให้ผิวหน้าเกิดการระคายเคือง และยังช่วยรักษาความชุ่มชื่นบนผิวหน้าอีกด้วย
แต่จากการดูส่วนผสมของ Cetaphil Gentle Skin Cleanser ก็พบสิ่งที่ควรระวังคือ ยังมีส่วนผสมของ “พาราเบน” ซึ่งเป็นสารกันเสียผสมอยู่ และยังมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์แต่เป็นแอลกอฮอล์ที่ไม่ทำให้ผิวแห้ง อีกทั้งตัวโหดสุดคือ SLS (Sodium Lauryl Sulfate) ที่มีความสามารถในการชำระล้างสูง และเป็นตัวที่มีโอกาสทำให้ผิวหน้าแห้งมากที่สุด ซึ่งโดยปกติคนที่มีผิวแพ้ง่ายควรหลีกเลี่ยงสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของสามตัวนี้ครับ
ผมอาจจะโชคดีที่ใช้แล้วผิวหน้าผมไม่แพ้ ไม่ก่อให้เกิดผื่นแดงบนใบหน้าครับ แต่เวลาล้างแล้วมันเหมือนกับล้างสะอาดออกไม่สุด มันไม่มีฟองไม่มีโฟมไม่มีอะไรเลย คือมันอ่อนโยนมากจนบางทีก็งง ๆ ว่า กำลังล้างหน้าด้วยน้ำเฉย ๆ อยู่รึเปล่านะ แต่โดยรวมแล้วประทับใจครับ ซื้อขนาดขวดใหญ่มาใช้ล้างหน้าเลย เพราะ “ไม่แพ้” คำเดียวครับ
2. รักษาเซ็บเดิร์ม ด้วยการใช้ น้ำตบ MizuMi Marine Sugar White Essence บำรุงผิวหน้า
ราคาโดยประมาณ 950 บาท ต่อ 125 ml
ขอบอกเลยว่าตั้งแต่มาเจอน้ำตบ MizuMi Marine Sugar White Essence ตัวนี้ ถูกใจมาก ๆ ใช้เป็นประจำจนหมดไปหลายขวดแล้วครับ ที่ถูกใจเพราะ “ไม่แพง ไม่แพ้ และไม่มีส่วนผสมของพาราเบน น้ำหอม และแอลกอฮอล์” ครับ
และทาง MizuMi เขายังเคลมด้วยว่า ใช้เป็นประจำภายใน 1 สัปดาห์ ผิวจะดูชุ่มชื้นกระจ่างใส และภายใน 1 เดือน ผิวจะดูเปล่งปลั่งมีออร่ามากกว่าที่เคย แต่เอาจริง ๆ ผมไม่ค่อยรู้สึกถึงความกระจ่างใสเท่าไรนะครับ สีของผิวหน้าก็ยังดูเดิม ๆ แต่ที่รู้สึกได้ดีกว่าเดิมคือ ผิวหน้าดูชุ่มชื้น ไม่แห้ง ผิวดูอิ่ม ๆ มากกว่าตอนที่ไม่ใช้ครับ ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักของผมเลยที่ต้องการให้หน้าไม่แห้ง หน้าดูมีน้ำมีนวลครับ
ผมจะชอบใช้น้ำตบตัวนี้หลังจากล้างหน้าแล้ว เยาะ ๆ น้ำตบลงบนฝ่ามือ 4-5 หยด (หน้าผมใหญ่เลยต้องใช้เยอะนิดหนึ่ง) จากนั้นก็ทาหน้าเลยครับ ไม่นงไม่นวลไม่วอร์มน้ำตบแล้วเพราะขี้เกียจ ก็เอาฝ่ามือทาและแปะ ๆ ทั่วหน้าเลย ซึ่งผมยอมรับเลยนะว่า น้ำตบตัวนี้มันอ่อนโยนมาก ขนาดไหลเข้าตาแล้วไม่ค่อยแสบเลยครับ แสบนิดเดียวจริง ๆ แต่ก็พยายามอย่าให้อะไรไหลเข้าตาละกันครับ
3. รักษาเซ็บเดิร์ม ด้วยการใช้ ครีม MizuMi Dry Rescue Intense Melt-In Cream บำรุงผิวหน้าเพิ่มเติม
ราคาโดยประมาณ 350 บาท ต่อ 45 ml
พอดีใช้น้ำตบของ MizuMi แล้วมันดีมาก ๆ เลยอยากลองใช้สกินแคร์อย่างอื่นของแบรนด์นี้ด้วย และผมไม่ค่อยได้ใช้ครีมบำรุงเท่าไร จึงได้ลองซื้อครีม MizuMi Dry Rescue Intense Melt-In Cream ตัวนี้มาใช้ครับ ด้วยเหตุผลเดิม ๆ คือ ราคาไม่แพงและไม่มีส่วนผสมของพาราเบน น้ำหอม และแอลกอฮอล์ ครับ และทางแบรนด์ยังบอกอีกว่า เป็นครีมที่เหมาะกับผิวแพ้ง่ายอีกด้วย
เนื้อครีมสีขาวค่อนข้างเหนียว กลิ่นก็แบบสะอาด ๆ จากโรงพยาบาลเลยครับ เวลาทาหน้าแล้วรู้สึกหนักหน้ามาก เนื้อใช้เวลาสักพักเลยกว่าจะซึมเข้าหน้า ผมจึงทาแค่ก่อนนอนเท่านั้น ทาตอนเช้าไม่ไหวจริง ๆ ครับ ถึงแม้แบรนด์เขาจะบอกว่า ทาได้เช้าเย็นก็ตาม
ส่วนผลลัพธ์ของการบำรุงผิว เอาตรง ๆ ผมค่อนข้างเฉย ๆ มาก ๆ คือแทบจะสังเกตการเปลี่ยนแปลงของหน้าไม่ค่อยได้เลยครับ มันอาจจะช่วยอยู่มั้ง ไม่แน่ใจ หรือผมอาจจะทาน้อยไป แต่ที่แน่ ๆ คือ ไม่แพ้ไม่เกิดเซ็บเดิร์มครับ ถ้าใครที่มีอาการเซ็บเดิร์มติดตัวแล้วกำลังหาครีมมาลองใช้ ก็ลองใช้ครีม MizuMi Dry Rescue Intense Melt-In Cream ตัวนี้ได้ มันอาจจะดีกับผิวหน้าคุณก็ได้ครับ
4. บำรุงผิวหน้าเพิ่มเติมด้วยเซรั่ม BIOTHERM LIFE PLANKTON™ ELIXIR
ราคาโดยประมาณ 1,700 / 2,300 บาท ต่อ 30 / 50 ml
ตัวนี้ที่สนใจใช้เพราะเพื่อนแนะนำมาครับ แต่ตอนแรกไม่ค่อยอยากซื้อเท่าไรเพราะ “แพง” ครับ แต่ไหน ๆ เพื่อนก็แนะนำมาแล้วเลยลองไปดูส่วนผสมของเซรั่ม BIOTHERM LIFE PLANKTON™ ELIXIR ก่อนซื้อครับ พอไปดู ๆ แล้วก็พบว่า โอเคไม่มีพาราเบน แต่ดันมีน้ำหอมกับแอลกอฮอล์ เลยสองจิตสองใจกลัวซื้อมาใช้แล้วหน้าแพ้ แต่เพื่อนเขาก็บอกว่า ไม่น่าจะแพ้นะ เพราะน้ำหอมกับแอลกอฮอล์แบรนด์เขาใส่มานิดเดียว ผมก็เลยลองซื้อมาใช้ก็ได้
ตอนจ่ายเงินแอบมือสั่นนิดหน่อย มันแพงอะครับ พอได้มาแล้วก็ลอง ๆ ใช้ ผมจะพยายามใช้แค่ 2-3 หยดลงบนนิ้วมือ แล้วทาให้ทั่วหน้าหลังจากใช้น้ำตบแล้ว ตอนทาก็รู้สึกว่า เออมันซึมเร็วนะ พอใช้ไปสักระยะน่าจะสัก 1 สัปดาห์ ผิวหน้าผมดูดีขึ้นมากจริง ๆ ครับ หน้าดูอิ่มน้ำ ผิวดูนุ่ม ลองจับ ๆ ดูผิวก็ไม่แห้งเลย และที่สำคัญ ไม่แพ้ไม่เกิดเซ็บเดิร์มด้วย คือต้องยอมรับจริง ๆ ว่า เซรั่ม LIFE PLANKTON™ ELIXIR ตัวนี้ บำรุงผิวหน้าได้โหดจริง ๆ ครับ
5. บำรุงผิวหน้าด้วยเซรั่มทางเลือก Aesop Parsley Seed Anti-Oxidant Serum
ราคาโดยประมาณ 1,799 บาท ต่อ 100 ml
เนื่องจากเซรั่มของ Biotherm ค่อนข้างราคาแพง ผมเลยลองหาเซรั่มทางเลือกตัวอื่น ๆ ก็มาเจอกับเซรั่ม Aesop Parsley Seed Anti-Oxidant Serum ตัวนี้เลยครับ ที่สนใจเพราะว่า ราคาถูกลงมาและไม่มีส่วนผสมของพาราเบน น้ำหอม และแอลกอฮอล์เลย และมีบิวตี้บล็อคเกอร์หลายท่านได้มารีวิวเซรั่มตัวนี้ไว้ด้วย พอเซรั่มตัวบนหมดก็ลองซื้อตัวนี้มาใช้ครับ
เนื้อเซรั่มค่อนข้างเหนียวแต่ไหลง่ายมาก แค่หยดลงบนนิ้วแล้วไหลออกไปได้ง่าย ๆ เลย ตอนใช้จึงต้องรีบหยดรีบทาลงบนหน้าเลยครับ ถึงจะบอกว่าไม่มีน้ำหอมแต่ตอนทาก็ได้กลิ่นหอม ๆ ของเซรั่มด้วย บอกกลิ่นไม่ถูกแต่หอม ๆ สะอาด ๆ ครับ พอทาบนหน้าเสร็จแล้ว รู้สึกว่าเซรั่มมันเหนอะหนะใบหน้าไปหน่อยและก็รู้สึกเหนียว ๆ ครับ
จากที่ลองใช้มาเรื่อย ๆ ก็พบว่า ไม่เกิดอาการแพ้ ไม่เกิดผื่นแดง บำรุงหน้าได้ดีระดับหนึ่ง ผิวหน้าดูไม่แห้งกร้านดี แต่ผิวหน้าผมดูไม่ดีเท่าตอนใช้เซรั่ม LIFE PLANKTON™ ELIXIR ครับ อย่างไรก็ตาม เซรั่ม Aesop Parsley Seed Anti-Oxidant Serum ตัวนี้ราคาถูกกว่า และมันอาจจะใช้ได้ดีกับหน้าคุณมากกว่าด้วยครับ
6. รักษาเซ็บเดิร์ม แบบประหยัด ด้วยการใช้ น้ำมันมะพร้าวเพลิน เพื่อบำรุงผิวหน้า
ราคาโดยประมาณ 255 / 479 บาท ต่อ 500 / 1,000 ml
จริง ๆ ผมไม่ชอบทานมะพร้าวและไม่ชอบกลิ่นของมันด้วย แต่ด้วยสรรพคุณและเสียงรีวิวของน้ำมันมะพร้าวจากคนที่เป็นเซ็บเดิร์มหลาย ๆ คน จึงต้องหามาใช้บ้าง ตอนแรกที่ผมลองใช้น้ำมันมะพร้าวนั้น ผิวหน้าผมกลับแพ้ครับ ยังงงมากทำไมถึงแพ้ แต่ด้วยราคาที่ไม่แพงมากเลยไม่ค่อยเจ็บตัวเท่าไร หาไปหามาจึงมาลงตัวกับ น้ำมันมะพร้าวยี่ห้อเพลินครับ ที่เอายี่ห้อนี้มาแนะนำเป็นเพราะว่า “ผมใช้แล้วไม่แพ้” แค่นั้นเองครับ
ด้วยราคาที่ย่อมเยาของน้ำมันมะพร้าวบวกกับใช้แล้วไม่แพ้ ผมจึงใช้แบบไม่กลัวเปลืองเลยครับ กดเป็นกด ปั๊มเป็นปั๊ม ทาแบบหน้าเยิ้มเลยทีเดียว ผมชอบใช้ 2 กรณีคือ
- ก่อนล้างหน้าให้ใช้น้ำมันมะพร้าวทาหน้าก่อน ใช้เหมือนเป็นคลีนเซอร์รอบแรก จากนั้นจึงตามด้วย Cetaphil Gentle Skin Cleanser ครับ
- ใช้ทาบำรุงผิวหน้าทั้งก่อนนอนแบบมันเยิ้มกับทาบาง ๆ ตอนเช้า
จากที่ได้ใช้ ๆ มา ผมรู้สึกว่า โอเค น้ำมันมะพร้าวก็บำรุงผิวหน้าอยู่นะ เหมือนผิวหน้าก็ดูอิ่มน้ำ ดูไม่แห้ง และราคาก็ไม่แพงด้วย แต่ผลลัพธ์สู้เซรั่ม Biotherm ไม่ได้ และเวลาใช้แต่ละทีหน้าดูมันวาวมากครับ ยิ่งตอนทาก่อนนอนน้ำมันมะพร้าวมันชอบไปติดตามผ้าห่ม ปลอกหมอนด้วย พอผ่านไปนาน ๆ แล้วมันส่งกลิ่นเหม็นแบบแปลก ๆ ต้องคอยซักผ้าพวกนี้ตลอดเลยครับ แต่ถ้าใครอยากบำรุงผิวหน้าแบบประหยัด ก็เริ่มจากน้ำมันมะพร้าวก่อนได้เลย
7. รักษาเซ็บเดิร์ม แบบประหยัด อีกวิธีหนึ่งด้วย Vaseline Pure Petroleum Jelly Original
ราคาโดยประมาณ 205 / 425 บาท ต่อ 250 / 368 g
ถึงแม้ทางแบรนด์ Vaseline จะไม่แนะนำให้ใช้ Petroleum Jelly กับผิวหน้า แต่ผมขอบอกเลยว่าการใช้ Vaseline Pure Petroleum Jelly Original เป็นวิธีการที่ประหยัดและได้ผลดีมาก ๆ ในการบำรุงหน้าสำหรับผมครับ และที่กล้าใช้เพราะไปอ่านรีวิวของคนที่เป็นเซ็บเดิร์มว่า เขาใช้แล้วผิวหน้าดูแข็งแรงขึ้น และราคาวาสลีนก็ไม่แพงเลย ผมเลยไปจัดมาครับ
แต่เนื่องจากเนื้อของวาสลีนมันเป็นปิโตรเลี่ยมเจลลี่ ซึ่งเนื้อมันหนักมันเหนียวมาก ๆ และกลิ่นก็ออกน้ำมันแบบสุด ๆ ตอนใช้ทาแรก ๆ นี่แอบกลัวเลยครับ เพราะมันเหมือนกับทาน้ำมันเหนียว ๆ เคลือบหน้าเอาไว้เลย ต้องใช้เวลาสักพักถึงจะชินกับมันเลยครับ
แต่พอชินและใช้เป็นประจำแล้ว ขอบอกเลยว่าดีมาก ๆ ตื่นนอนมาหน้าดูอิ่ม ดูมีน้ำไม่แห้งกร้านเลย และที่สำคัญ เซ็บเดิร์มแทบไม่มาหาเลยครับ อย่างไรก็ตามทาแล้วหนักหน้ามากครับ ถึงจะชินก็ตามแต่ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายหน้าอยู่ตลอดเวลาที่ใช้เลย
8. ถ้ารักษาเซ็บเดิร์มด้วยสกินแคร์เอาไม่อยู่จริง ๆ ลองใช้ครีม Elomet
ราคาโดยประมาณ 120 บาท ต่อ 5 g
ครีม Elomet เป็นครีมที่มีส่วนผสมของ “สเตียรอยด์” ที่คนเป็นเซ็บเดิร์มต้องรู้จักกันแน่ ๆ เพราะเวลาไปหาหมอผิวหนังเพราะเซ็บเดิร์มทีไร ก็จะได้ครีมที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์มาทาตลอดครับ เหมือนกับเป็นยาวิเศษในการต่อสู้กับเซ็บเดิร์มเลย แต่มันก็เป็นดาบสองคมนะครับ เพราะถ้าทามาก ๆ จะทำให้หน้าติดสเตียรอยด์แล้วหน้าจะยิ่งพังมากกว่าตอนเป็นเซ็บเดิร์มอีกครับ
ผมจะมีครีม Elomet ติดไว้ที่บ้านอยู่เสมอ แต่จะพยายามไม่ใช้มันอย่างเด็ดขาด ยกเว้นในกรณีจำเป็นจริง ๆ เวลาที่เซ็บเดิร์มมันมาแล้วต้องพบปะผู้คนถึงจะทาครีม Elomet บาง ๆ เช้าเย็น และจะไม่ทาเกิน 2-3 วัน หรือพอหน้าเริ่มดีขึ้นจะหยุดใช้เลยครับ แต่ถ้าเซ็บเดิร์มมาแล้วผมไม่ต้องออกนอกบ้าน ก็จะพยายามทำให้มันหายโดยไม่ใช้ครีมตัวนี้ครับ
ซึ่งจากตัวผมเอง ถ้าทุกคนทำตามวิธีการด้านบนสุด 4 ข้อ คือ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทานมะเขือเทศ ทานแอปเปิล และดื่มน้ำอย่างเพียงพอ ถึงแม้เซ็บเดิร์มมันจะมา แต่แป๊บ ๆ มันก็จะหายไปเองโดยเราไม่ต้องทาครีมสเตียรอยด์เลยครับ
9. ออกนอกบ้านทาครีมกันแดดด้วย La Roche Posay Anthelios Shaka Fluid
ราคาโดยประมาณ 959 บาท ต่อ 50 ml
แดดเมืองไทยมันก็โหดสุด ๆ แล้วนะครับ และคนที่เป็นเซ็บเดิร์มดันทาครีมกันแดดไม่ค่อยได้อีก ผมก็ได้ลอง ๆ ใช้ครีมกันแดดหลาย ๆ ตัว มาจบลงที่ครีมกันแดดของ La Roche Posay Anthelios Shaka Fluid เพราะไม่มีส่วนผสมของพาราเบน น้ำหอม และแอลกอฮอล์ครับ และมีความอ่อนโยนต่อผิวมาก ๆ แต่ครีมกันแดดทาหน้าตัวนี้ ราคาโหดเอาเรื่องเลย ที่ยังต้องใช้เป็นเพราะว่า ใช้แล้วไม่แพ้ ไม่เกิดเซ็บเดิร์มเท่านั้นครับ
ส่วนเรื่องการกันแดดก็ต้องยอมกับ La Roche จริง ๆ เพราะผมใช้แล้วหน้าแทบไม่ดำ ไม่คล้ำขึ้นเลยครับ ดังนั้นสำหรับใครที่หน้ามีอาการเซ็บเดิร์มแล้วอยากหากันแดดดี ๆ ที่ใช้แล้วไม่แพ้ ผมก็ขอแนะนำ ครีมกันแดด La Roche Posay Anthelios 50 Mineral sunscreen ตัวนี้เลยครับ
สรุปวิธีการ “การใช้สกินแคร์รักษาเซ็บเดิร์ม” ของตัวผมเอง
ก็จากที่ได้มารีวิวถึงสกินแคร์และของที่ใช้ไปทั้งหมด 9 ตัว เอาจริง ๆ ผมก็ไม่ได้ใช้ทั้ง 9 ตัวทุกวันนะครับ จะมีบางช่วงใช้แบบหนึ่ง บางช่วงใช้อีกแบบ เลยอยากจะมาสรุปวิธีการต่อสู้เซ็บเดิร์มของผมให้ได้ดูกันครับ
1. สายประหยัดต่อสู้รักษาเซ็บเดิร์ม
- ล้างหน้าด้วย Eucerin pH5 Facial Cleanser แล้วทา Vaseline Pure Petroleum Jelly Original จบเลย หรือ
- ล้างหน้าด้วย Eucerin pH5 Facial Cleanser แล้วทาน้ำมันมะพร้าวเพลิน จากนั้นอยากจะตามด้วย Vaseline Pure Petroleum Jelly Original ก็ได้หรือไม่ต้องก็ได้ครับ
2. สำหรับคนที่มีงบเพิ่มเติม
- ล้างหน้าด้วย Eucerin pH5 Facial Cleanser แล้วตามด้วยน้ำตบ MizuMi Marine Sugar White Essence ปิดท้ายด้วยน้ำมันพร้าวเพลิน หรือ Vaseline Pure Petroleum Jelly Original ก็ได้หรือไม่ต้องก็ได้ครับ
- ล้างหน้าด้วย Eucerin pH5 Facial Cleanser แล้วตามด้วยน้ำตบ MizuMi Marine Sugar White Essence ปิดท้ายด้วยครีม Eucerin UltraSENSITIVE Repair Cream
3. สำหรับคนที่เป็นเซ็บเดิร์มแล้วมีงบแบบสุด ๆ
- ล้างหน้าด้วย Eucerin pH5 Facial Cleanser แล้วตามด้วยน้ำตบ MizuMi Marine Sugar White Essence จากนั้นตามด้วยเซรั่ม BIOTHERM LIFE PLANKTON™ ELIXIR แล้วปิดด้วยครีม Eucerin UltraSENSITIVE Repair Cream เวลาออกนอกบ้านก็ทากันแดด La Roche Posay Anthelios 50 Mineral sunscreen ครับ
ก็จบไปแล้วกับการรีวิววิธีการต่อสู้ รักษา “เซ็บเดิร์ม” ของผมที่อยู่คู่กับมันมาอย่างยาวนานถึง 10 กว่าปี แต่การต่อสู้นี้ยังไม่จบนะครับ ผมก็ยังต้องดูแลตัวเองต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้เซ็บเดิร์มมันกลับมา และอย่างที่บอกไป ต้องดูแลตัวเองจากภายในก่อนถึงจะดีที่สุด ถ้ายังดูแลตัวเองได้ไม่ดีละก็ ต่อให้สกินแคร์เทพขนาดไหนก็เอาเซ็บเดิร์มไม่อยู่ครับ
ถ้าเพื่อน ๆ คนไหนมีวิธีการจัดการกับเซ็บเดิร์มที่ดีกว่า หรือมีข้อเสนอแนะ ก็เสนอมาได้ที่ด้านล่างเลยนะครับ ผมและเพื่อนคนอื่น ๆ จะได้ลองไปใช้ดู และหวังว่าคนที่มีอาการเซ็บเดิร์มจะสามารถอยู่รวมกับมันอย่างมีความสุขได้ในที่สุดนะครับ
บรรณาธิการที่มีประสบการณ์ในการเขียนรีวิวสินค้าหลายชนิด
- สุขภาพ: อาหารเสริม, ออกกำลังกาย, การดูแลผิวพรรณ
- เครื่องใช้ไฟฟ้า: สมาร์ทโฮม, เครื่องใช้ในครัว, เครื่องใช้ในบ้าน, และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ
- ของกิน: ขนมหวาน เครื่องดื่ม, อาหารสุขภาพ, และเทรนด์อาหารอื่น ๆ