กำลังอยากจะหาซื้ออาหารเสริม “วิตามิน เอ” (Vitamin A) ยี่ห้อไหนดี กันอยู่สินะครับ ถึงได้กดเข้ามาอ่านที่บทความนี้ ก็ถือว่ามาได้ถูกที่แล้ว เพราะที่นี่จะช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิตามินเอ ไม่ว่าจะ วิตามิน เอ ช่วยอะไร ? เลือกซื้ออย่างไรดี? ปริมาณที่ควรทานต่อวัน? ความเสี่ยงของการ Overdose? รวมถึงมีรีวิวให้ดูกันถึง 7 ยี่ห้อด้วย แต่ก่อนที่จะไปอ่านเนื้อหากันนั้น ขอเตือนกันสักนิดว่า วิตามิน A เป็นวิตามินที่มีทั้งประโยชน์และโทษต่อร่างกาย เพราะฉะนั้น ถ้าจะซื้อไปทานละก็ ขอให้คิดให้รอบคอบและระมัดระวังกันด้วยครับ
สารบัญ
วิตามิน เอ ช่วยอะไร ?
หลาย ๆ คนน่าจะเคยได้เรียนวิทยาศาสตร์ตั้งแต่สมัยประถมกันแล้วนะครับว่า ประโยชน์ที่สำคัญมากที่สุดของวิตามิน A ก็คือ “การช่วยบำรุงดวงตาให้มีสุขภาพที่ดี” นั่นเอง ซึ่งถ้าร่างกายของคนเราขาดแคลนวิตามิน A แล้วละก็ อาจจะทำให้เกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับดวงตาบางชนิด เช่น โรค Age-related Macular Degeneration (AMD) หรือโรคจอประสาทตามเสื่อมเมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้น รวมถึงพวกอาการตาแห้ง และตาระคายเคืองต่าง ๆ เป็นต้น โดยได้มีงานวิจัยค้นพบว่า ในกระแสเลือดของผู้ที่มี Beta-Carotene ความเข้มข้นสูง ๆ จะช่วยลดโอกาสการเกิด AMD ถึง 35% ครับ
แต่วิตามิน เอ ไม่ได้ช่วยแค่บำรุงสุขภาพดวงตาเท่านั้น ยังมีประโยชน์อื่น ๆ ต่อร่างกายอีกเพียบ ไม่ว่าจะ มีคุณสมบัติของการเป็น Anti-Oxidant จึงช่วยปกป้องเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายจากการถูกสารอนุมูลอิสระทำร้าย รวมถึงช่วยปกป้องเซลล์ผิวพรรณต่าง ๆ ไม่ให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร นอกจากนี้ ก็ยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย และยังช่วยลดโอกาสการเกิดของมะเร็งบ้างชนิด เช่น โรคมะเร็งปอด, มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ, มะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่ เป็นต้น (ดูงานวิจัยได้ที่นี้) และที่สำคัญ ยังมีส่วนช่วยพัฒนาและบำรุงสเปิร์มของคุณผู้ชายกับไข่ของคุณผู้หญิงให้มีสุขภาพดี เพื่อที่จะพร้อมสำหรับการมีลูกด้วยครับ
จะเลือกซื้ออาหารเสริม “วิตามิน เอ” ยังไงดีนะ?
ตามความเข้าใจของคนส่วนใหญ่เวลาเลือกซื้ออาหารเสริมก็คือ เน้นเรื่องความเข้มข้นสูง ๆ จะได้ช่วยบำรุงร่างกายได้ดี ซึ่งก็เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง แต่ ๆๆๆ สำหรับวิตามิน A คงจะใช้หลักการนี้ไม่ได้ เพราะวิตามิน A เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน จึงสามารถเกิดการสะสมในร่างกายได้ เมื่อมีการสะสมในร่างกายที่สูงมากเกินไป อาจจะทำให้เกิดอันตรายและโทษต่อร่างกายได้นั่นเอง และสำหรับสาว ๆ ที่คิดจะทานเพื่อบำรุงผิว ถ้าหากได้รับวิตามิน A มากเกินไป อาจจะทำให้ผิวแห้งกร้าน รวมถึงผมหลุดร่วงได้ด้วยนะครับ เพราะฉะนั้นการทานวิตามิน A จึงควรทานอย่างระมัดระวัง และทางที่ดีควรปรึกษาคุณหมอก่อนซื้อพวกอาหารเสริมวิตามิน A มาทานครับ
แต่ถ้าไม่อยากจะปรึกษาคุณหมอละก็ ทางสถาบันจากสหรัฐอเมริกาได้ให้คำแนะนำของการทานวิตามิน A หรือ Recommended Daily Allowance (RDA) ต่อวันไว้ว่า สำหรับผู้ชายควรที่จะได้รับ 900 mcg ส่วนผู้หญิงควรที่จะได้รับ 700 mcg และที่สำคัญมาก ไม่ควรทานมากเกินกว่า 3,000 mcg หรือ 10,000 IU เพื่อป้องกันและลดโอกาสการเกิดอันตรายจากการทานวิตามิน A ดังนั้น ถ้ากำลังเล็ง ๆ หาซื้อวิตามิน A มาทาน จึงอยากให้ซื้อพวกความเข้มข้นน้อย ๆ หรือถ้าคิดว่า ตัวเองได้รับวิตามิน A ที่มากพอจากอาหารและผลไม้อยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องซื้ออาหารเสริมมาทานเลยครับ
อาหารเสริมจะไม่จำเป็น ถ้าได้ทานผักและผลไม้กันเป็นประจำอยู่แล้ว
อีกทั้งถ้าเป็นไปได้ อยากให้เลือกซื้ออาหารเสริมวิตามิน เอ ที่ได้มาจาก Beta-Carotene มากกว่าพวก Palmitate เพราะ Beta-Carotene จะได้มาจากพืช เช่น แครอท พวกผักมีสีต่าง ๆ ส่วน Palmitate จะได้มาจากสัตว์ เช่น ไข่ไก่, เนื้อไก่, เนื้อวัว เป็นต้น ทำให้ Beta-Carotene มีความเสี่ยงที่น้อยกว่า (แต่ไม่ได้ให้วิตามิน A โดยตรง ร่างกายจะทำการเปลี่ยน Beta-Carotene ให้เป็นวิตามิน A ทีหลัง) อีกทั้งทาง RDA ก็ไม่ได้กำหนดเพดานปริมาณของ Beta-Carotene ที่ไม่ควรทานเอาไว้ ในขณะที่ Palmitate จะกำหนดที่ไม่ควรทานมากกว่า 3,000 mcg ต่อวัน
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า Beta-Carotene จะมีความเสี่ยงที่น้อยกว่า แต่ขึ้นชื่อว่าอาหารเสริม ยังไงก็ไม่ควรทานในปริมาณที่มากเกินไปอยู่ดี จะเห็นได้จากคนที่ทานแครอทหรือฟักทองมากเกินไป ผิวพรรณจะเกิดการเปลี่ยนสีเป็นสีส้ม เป็นต้น แต่ก็ยังไม่มีงานวิจัยตัวไหนมาระบุว่า การที่สีผิวเปลี่ยนเป็นสีส้มมีอันตรายหรือไม่ แต่ก็ไม่ควรเสี่ยงอยู่ดี ดังนั้นจึงควรทานในปริมาณที่พอเหมาะ หรือปรึกษาคุณหมอก่อนทานอาหารเสริมวิตามินเอเสมอ ๆ ครับ แต่ถ้ารู้สึกว่า พวกอาหารเสริมวิตามิน A นั้น มีความเข้มข้นที่สูงเกินไป ถ้ายังงั้นขอแนะนำให้ทานน้ำมันตับปลา เพราะให้วิตามินเอที่เข้มข้นไม่มาก และยังช่วยบำรุงสมองด้วยเน้อ ถ้าสนใจกดปุ่มด้านล่างเลยครับ
ตารางเปรียบเทียบ “วิตามิน เอ” (Vitamin A) ยี่ห้อไหนดี
สำหรับการเปรียบเทียบสินค้าของแต่ละยี่ห้อ เพื่อให้ดูเทียบกันได้อย่างสะดวก และดูได้ง่าย ๆ ว่า ยี่ห้อไหนมีความเข้มข้นที่เท่าไร, มีสารอาหารอื่น ๆ เพิ่มเติมหรือไม่, ราคาประมาณไหน ทางผมก็ได้ทำตารางเปรียบเทียบไว้ให้แล้ว กดปุ่มด้านล่างเพื่อเข้าไปดูได้เลยครับ
1. อาหารเสริม วิตามิน เอ ยี่ห้อ 21st century
ราคาโดยประมาณ 215 บาท ต่อ 110 เม็ด
ถ้ากำลังมองหาอาหารเสริมวิตามินเอยี่ห้อที่มีคุณภาพดี และความเข้มข้นไม่สูงจนเกินไปนัก ต้องขอแนะนำ 21st century จากสหรัฐอเมริกากันเลยครับ โดยความเข้มข้นของ Vitamin A จะอยู่ที่ 3,000 mcg หรือ 10,000 IU ต่อเม็ด ก็ถ้าเทียบกับยี่ห้ออื่น ๆ แล้ว จะค่อนข้างอยู่ในระดับที่ น้อยไปจนถึงปานกลาง ไม่ได้เข้มข้นมากเท่าหลาย ๆ ยี่ห้อ จึงทำให้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเสริมวิตามิน A เพียงเล็กน้อยต่อวัน หรือคนที่กลัวว่า จะได้รับวิตามิน A มากเกินไป จนเกิดเป็นผลเสียต่อร่างกาย ส่วนเรื่องราคา ก็จะตกเม็ดละประมาณ 2 บาท ก็จะแอบสูงกว่าหลาย ๆ ยี่ห้ออยู่ ยังไงตอนซื้อ ก็เลือกให้ตรงต่อความต้องการครับ
ประเภท | เม็ดนิ่ม |
ความเข้มข้น Vitamin A ต่อเม็ด | 3,000 mcg (10,000 IU) |
รูปแบบของ Vitamin A | Palmitate |
สารอาหาร / ส่วนผสมอื่น ๆ | น้ำมันถั่วเหลือง |
ปริมาณที่ควรทาน | วันละ 1 เม็ด พร้อมมื้ออาหาร |
สัญชาติ | สหรัฐอเมริกา |
2. ยี่ห้อ Now Foods
ราคาโดยประมาณ 349 บาท ต่อ 100 เม็ด
Now Foods อีกหนึ่งยี่ห้อจากสหรัฐอเมริกาที่น่าสนใจ และน่าหาซื้อไปทานกันครับ โดยถ้าดูจากตารางข้อมูลด้านล่าง จะเห็นว่า มีความเข้มข้นของวิตามิน A ที่เท่ากับ 21st century ตัวด้านบนคือ 3,000 mcg หรือ 10,000 IU แต่ยี่ห้อนี้ จะพิเศษกว่าตรงที่ ได้ใช้น้ำมันตับปลาและน้ำมันมะกอกเป็นส่วนผสม ซึ่งน้ำมันตับปลาก็เป็นน้ำมันที่ช่วยบำรุงร่างกายได้ดี รวมถึงน้ำมันมะกอกก็มีคุณค่ามากกว่าน้ำมันพืชทั่ว ๆ ไปด้วย รวม ๆ แล้ว ยี่ห้อนี้จึงบำรุงร่างกายได้ดีกว่าหลาย ๆ ยี่ห้อที่ใช้น้ำมันพืช แต่ด้วยคุณภาพที่ดีกว่า ก็ทำให้มีราคาที่แพงมากกว่า โดยจะตกเม็ดละประมาณ 3.5 บาท ก็ถ้าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา จัด Now Foods เลยครับ
ประเภท | เม็ดนิ่ม |
ความเข้มข้น Vitamin A ต่อเม็ด | 3,000 mcg (10,000 IU) |
รูปแบบของ Vitamin A | Retinyl Palmitate |
สารอาหาร / ส่วนผสมอื่น ๆ | น้ำมันตับปลา, น้ำมันมะกอก |
ปริมาณที่ควรทาน | วันละ 1 เม็ด พร้อมมื้ออาหาร |
สัญชาติ | สหรัฐอเมริกา |
3. อาหารเสริม วิตามิน เอ ยี่ห้อ DHC
ราคาโดยประมาณ 590 บาท ต่อ 30 เม็ด
DHC ยี่ห้อที่คนไทยหลาย ๆ คนน่าจะรู้จักกันดี และน่าจะเคยซื้ออาหารเสริมของยี่ห้อนี้มาทานกันบ้าง โดยทางแบรนด์ เขาก็มีอาหารเสริมวิตามิน A ขายเช่นกันครับ แต่จะแตกต่างจากยี่ห้ออื่น ๆ ตรงที่ จะให้ Beta-Carotene มา 7,000 mcg แทน และถ้าดูจากความเข้มข้นของ IU แล้ว จะเห็นว่า มีความเข้มข้นสูงมากที่ 23,333 IU สูงกว่ายี่ห้อบน ๆ มาก ก็อาจจะดูเหมือนทำให้ร่างกายได้รับวิตามิน A ที่มากเกินไป แต่เอาจริง ๆ แล้ว Beta-Carotene มีความปลอดภัย สามารถทานความเข้มข้นสูง ๆ ได้ครับ (รายละเอียดเรื่องนี้ อยู่ที่เนื้อหาด้านบน)
และนอกจากจะให้ Beta-Carotene มาแทนวิตามิน A แล้ว DHC ยังได้เสริมน้ำมันมะกอกและวิตามิน E เพิ่มเติมมาด้วย จึงช่วยบำรุงร่างกายได้ดีกว่า แต่ก็ทำให้มีราคาที่แพงมากกว่าด้วยเช่นกัน โดยที่ 1 เม็ด จะตกเม็ดละประมาณ 20 บาท! ถือว่าแพงมาก ๆ แพงโดดจากยี่ห้ออื่น ๆ เลยทีเดียว ก็ไม่แนะนำยี่ห้อนี้ สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องงบครับ
ประเภท | เม็ดนิ่ม |
ความเข้มข้น Vitamin A ต่อเม็ด | 7,000 mcg (23,333 IU) |
รูปแบบของ Vitamin A | Beta-Carotene |
สารอาหาร / ส่วนผสมอื่น ๆ | น้ำมันมะกอก / วิตามิน E, 3 mg |
ปริมาณที่ควรทาน | วันละ 1 เม็ด พร้อมมื้ออาหาร |
สัญชาติ | ญี่ปุ่น |
4. ยี่ห้อ Puritan's Pride
ราคาโดยประมาณ 189 บาท ต่อ 100 เม็ด
ถ้าอยากจะทานอาหารเสริมวิตามิน เอ ในรูปแบบของ Beta-Carotene แต่ยี่ห้อ DHC นั้นแพงเกินไป จ่ายไม่ไหว ถ้ายังงั้นลองมาดูยี่ห้อ Puritan's Pride จากสหรัฐอเมริกากันเลยครับ เพราะที่ 1 เม็ด จะมีราคาประมาณเม็ดละ 1.89 บาท! เท่านั้น ก็ถูกกว่า DHC มาก ๆๆ เกือบ 20 เท่า เลยทีเดียว และความเข้มข้นของ Beta-Carotene เอง ก็เข้มข้นสูงกว่าด้วยที่ 7,500 mcg หรือ 25,000 IU แต่จุดที่ Puritan's Pride ด้อยกว่า DHC ก็คือ ใช้น้ำมันถั่วเหลืองและข้าวโพดเป็นส่วนผสม ซึ่งมีคุณค่าที่น้อยกว่าน้ำมันมะกอกของ DHC แต่ถ้าเน้นเรื่องราคาแล้วละก็ ลองซื้อ Puritan's Pride ทานก่อนก็ได้ ถ้าไม่ชอบยังไง ก็ค่อยไปลอง DHC ครับ
ประเภท | เม็ดนิ่ม |
ความเข้มข้น Vitamin A ต่อเม็ด | 7,500 mcg (25,000 IU) |
รูปแบบของ Vitamin A | Beta-Carotene |
สารอาหาร / ส่วนผสมอื่น ๆ | น้ำมันถั่วเหลือง / น้ำมันข้าวโพด |
ปริมาณที่ควรทาน | วันละ 1 เม็ด พร้อมมื้ออาหาร |
สัญชาติ | สหรัฐอเมริกา |
5. อาหารเสริม วิตามิน เอ ยี่ห้อ Mega We care
ราคาโดยประมาณ 100 บาท ต่อ 100 เม็ด
ได้เห็นยี่ห้อต่างชาติไปกันเยอะแล้ว คราวนี้มาดูยี่ห้อของไทยอย่าง Mega We care กันดีกว่าครับ โดยถ้าสังเกตที่ราคาด้านบนละก็ จะเห็นได้ว่า ถูกมากก ตกเม็ดละประมาณ 1 บาทเท่านั้น ก็น่าจะเป็นอาหารเสริมวิตามิน เอ ที่มีราคาค่อนข้างถูกที่สุด แต่ถ้าคิดว่า ราคาถูกก็จะมีความเข้มข้นน้อยตามละก็ ถือว่าคิดผิด เพราะที่ 1 เม็ด จะมีความเข้มข้นของวิตามินเอที่สูงถึง 7,500 mcg หรือ 25,000 IU เลยทีเดียว ถือว่ามีความเข้มข้นที่สูงเอามาก ๆๆ สูงในระดับเดียวกันกับ Puritan's Pride ตัวด้านบนเลยครับ
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะซื้อยี่ห้อนี้ ต้องขอเตือนกันสักนิด เพราะวิตามินเอที่ได้ จะมาจาก Palmitate ไม่ใช่ Beta-Carotene และด้วยความเข้มข้นที่สูงขนาดนี้ อาจจะทำให้เกิดการสะสมในร่างกาย แล้วเกิดอันตรายขึ้นได้ ซึ่งแม้แต่ทาง Mega We care เอง ก็ได้ระบุไว้บนฉลากเลยว่า ยาอันตราย ก่อนซื้อก็คิดให้ดีกันด้วย หรือถ้าคิดว่า ยี่ห้อนี้มีความเสี่ยงมากเกินไป แนะนำยี่ห้อที่มีความเข้มข้นที่น้อยกว่านี้ หรือซื้อวิตามินเอแบบ Beta-Carotene มาทาน จะดีกว่าครับ
มีคำเตือนคิดไว้บนฉลากด้วย ก่อนซื้อก็คิดกันดี ๆ ครับ
ประเภท | เม็ดนิ่ม |
ความเข้มข้น Vitamin A ต่อเม็ด | 7,500 mcg (25,000 IU) |
รูปแบบของ Vitamin A | Palmitate |
สารอาหาร / ส่วนผสมอื่น ๆ | – |
ปริมาณที่ควรทาน | วันละ 1 เม็ด พร้อมมื้ออาหาร |
สัญชาติ | ไทย |
6. ยี่ห้อ Blackmores
ราคาโดยประมาณ 1,100 บาท ต่อ 150 เม็ด
ถ้ากำลังมองหาอาหารเสริมวิตามิน เอ ที่มีความเข้มข้นไม่สูงมากเท่าพวกยี่ห้อบน ๆ อยู่ละก็ ต้องขอแนะนำยี่ห้อ Blackmores จากออสเตรเลียเลยครับ โดยที่ 1 เม็ด จะมีความเข้มข้นเพียงแค่ 1,500 mcg หรือ 5,000 IU เท่านั้น ก็ค่อนข้างน้อย แต่ก็ถือว่า มีความเสี่ยงน้อยตามไปด้วย และที่ความเข้มข้นน้อย ๆ ก็ยังถือเป็นข้อดี เพราะถ้าร่างกายยังขาดวิตามิน A อยู่ ก็สามารถทานเพิ่มอีก 1 เม็ด เพื่อเพิ่มความเข้มข้นให้เป็น 3,000 mcg เท่ากับยี่ห้ออื่น ๆ ได้นั่นเอง แต่ ๆๆๆ ก่อนซื้อยี่ห้อนี้ ขอให้ดูงบกันนิดหนึ่ง เนื่องจากมีราคาที่ค่อนข้างแพงมาก โดยจะตกเม็ดละประมาณ 7-8 บาทเลยทีเดียว ก็ถ้าอยากประหยัดงบประมาณ ลองดูยี่ห้ออื่นดีกว่าครับ
ประเภท | เม็ดนิ่ม |
ความเข้มข้น Vitamin A ต่อเม็ด | 1,500 mcg (5,000 IU) |
รูปแบบของ Vitamin A | Retinol Palmitate |
สารอาหาร / ส่วนผสมอื่น ๆ | – |
ปริมาณที่ควรทาน | วันละ 1 เม็ด พร้อมมื้ออาหาร |
สัญชาติ | สหรัฐอเมริกา |
7. อาหารเสริม วิตามิน เอ ยี่ห้อ Nature Factors
ราคาโดยประมาณ 276 บาท ต่อ 180 เม็ด
อีกหนึ่งยี่ห้ออาหารเสริมวิตามิน เอ ที่น่าสนใจ และมีราคาที่ค่อนข้างถูก ต้องยกให้กับยี่ห้อ Nature Factors จากแคนาดากันเลยครับ โดยที่ 1 กระปุก จะได้จำนวนเม็ดถึง 180 เม็ด ซึ่งจะตกเม็ดละประมาณ 1.5 บาท เท่านั้น ก็ถูกกว่าหลาย ๆ ยี่ห้อ (ยกเว้น Mega) อีกทั้งความเข้มข้นของ Vitamin A เอง ก็ไม่น้อย โดยจะอยู่ที่ 3,000 mcg ต่อเม็ด ก็เทียบเท่ากับยี่ห้อ 21st century และ Now Foods ยี่ห้อที่อยู่ด้านบนเลย ก็ถ้าคิดว่า Mega มีความเข้มข้นสูงเกินไป Blackmores ก็มีความเข้มข้นที่น้อยเกินไป Nature Factors ยี่ห้อนี้ เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจเลยครับ
ประเภท | เม็ดนิ่ม |
ความเข้มข้น Vitamin A ต่อเม็ด | 3,000 mcg (10,000 IU) |
รูปแบบของ Vitamin A | Retinyl Palmitate |
สารอาหาร / ส่วนผสมอื่น ๆ | น้ำมันตับปลา |
ปริมาณที่ควรทาน | วันละ 1 เม็ด พร้อมมื้ออาหาร |
สัญชาติ | แคนาดา |
ก็จบไปแล้วกับการรีวิว อาหารเสริม “วิตามิน เอ” ยี่ห้อไหนดี กันถึง 10 ยี่ห้อด้วยกัน ไม่ทราบว่า สนใจ อยากจะซื้อยี่ห้อไหนไปทานกันบ้าง?? ก็จากที่เห็น ๆ มาเนี่ย ส่วนใหญ่จะมีความเข้มข้นที่ค่อนข้างสูงมาก จนบางยี่ห้ออาจจะสูงเกินไป จนอาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้เลย ยังไงเวลาที่จะเลือกซื้ออาหารเสริมวิตามินเอ ก็ต้องระมัดระวังกันด้วยนะครับ หรือไม่งั้น ก็ควรที่จะปรึกษาคุณหมอก่อนซื้อว่า ควรที่จะซื้อความเข้มข้นเท่าไร เพื่อที่จะได้ลดความเสี่ยง และไม่เกิดปัญหาตามมาทีหลัง ยังไงก็ขอให้ได้ยี่ห้อที่ถูกใจ ทานแล้ว ตอบโจทย์บำรุงร่างกาย รวมถึงมีความปลอดภัยกันด้วยครับ
บรรณาธิการที่มีประสบการณ์ในการเขียนรีวิวสินค้าหลายชนิด
- สุขภาพ: อาหารเสริม, ออกกำลังกาย, การดูแลผิวพรรณ
- เครื่องใช้ไฟฟ้า: สมาร์ทโฮม, เครื่องใช้ในครัว, เครื่องใช้ในบ้าน, และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ
- ของกิน: ขนมหวาน เครื่องดื่ม, อาหารสุขภาพ, และเทรนด์อาหารอื่น ๆ