กำลังหาซื้อหูฟัง JBL กันอยู่ใช่ไหมล่ะครับ แต่เจ้ากรรมดันมีรุ่นให้เลือกซื้อกันอีกเยอะมากกก มีทั้งแบบไร้สาย มีสาย หูฟังแบบอินเอียร์ หูฟังแอร์บัส และหูฟังแบบครอบหู เยอะจนไม่รู้จะซื้อรุ่นไหน บอกเลยว่าคลิกเข้ามาได้ถูกที่ถูกบทความแล้ว เพราะที่นี่ ทางผมได้ไปรวบรวม “หูฟัง JBL” รุ่นไหนดี ที่น่าสนใจ เสียงชัด เบสแน่น ตัดเสียงรบกวนรอบข้างได้ดี มาแนะนำให้รู้จักกันถึง 10 รุ่นเลยทีเดียว และถ้าทุกคนได้ลองอ่าเนื้อหากันจนจบล่ะก็ จะรุ่นที่ถูกใจ แถมยังในงบที่ตั้งไว้ ไปใช้งานกันอย่างแน่นอนครับ !
สารบัญ
ตารางเปรียบเทียบรีวิว “หูฟัง JBL” รุ่นไหนดี
อยากดูข้อมูลของ หูฟัง JBL แบบสรุป ๆ อ่านง่าย วางเรียงเปรียบเทียบสเปค ทั้งประเภทหูฟัง, ขนาดไดร์เวอร์, การเชื่อมต่อ, ไมโครโฟน, สี และราคา เพื่อช่วยให้ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น แนะนำให้กดเข้าไปที่ปุ่มสีแดงด้านล่างได้เลยครับ
1. JBL Tune Flex
ราคาโดยประมาณ 3,392 บาท
หูฟัง JBL Tune Flex ที่รองรับการใช้งานได้ 2 รูปแบบ คือแบบ Earbuds ที่จะแปะลำโพงไว้หน้ารูหู กับแบบใส่จุกยางเพิ่มเพื่อสอดเข้าไปในรูหูแบบ In-Ear มาพร้อมเทคโนโลยีลดเสียงรบกวนแบบแอคทีฟกับไมโครโฟน 2 ตัว ทำให้ได้ยินเสียงที่ต้องการมากยิ่งขึ้น และด้วย Ambient Mode ทำให้สามารถรับเสียงจากภายนอกแล้วปรับโทนเสียงให้เข้ากับเสียงดนตรีโดยอัตโนมัติ พร้อมลดระดับเสียงเพลงลงเพื่อให้ได้ยินเสียงบรรยากาศรอบตัว จึงสามารถพูดคุยกับคนข้าง ๆ ได้โดยไม่ต้องถอดหูฟังครับ
สามารถใช้โทรสเตอริโอแบบแฮนด์ฟรีได้ด้วยไมโครโฟน 4 ตัว เพื่อคุณภาพการสนทนาที่ดีเยี่ยม รองรับการใช้งานผ่านแอปพลิเคชันทั้งการควบคุมหูฟัง และการปรับแต่ง EQ อย่างละเอียด เพื่อปรับแต่งโทนเสียงให้ตรงกับรสนิยมการฟังเพลงมากที่สุด หรือจะเลือกจากการปรับแต่งสำเร็จที่มีมาให้ถึง 5 แบบ ก็ได้เหมือนกันครับ
ประเภท | In-Ear + Earbuds |
ขนาดไดร์เวอร์ | 12 mm |
การเชื่อมต่อ | Bluetooth |
ไมโครโฟน | ✓ |
สี | Black / White / Ghost Black / Ghost White |
2. JBL Quantum 50
ราคาโดยประมาณ 1,182 บาท
จากความสำเร็จของ Gaming Headphone ใน Quantum Series สามารถการันตีคุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยมของหูฟัง JBL Quantum 50 ได้เป็นอย่างดี ด้วยสเปคภายในและการทำงานที่คุ้มค่าเกินราคา 1 พันนิด ๆ อีกทั้งยังโดนใจผู้ใช้ที่ไม่ชอบความหนักหัวหนักหู แล้วยังร้อนอีกของ Headphone แต่ยังอยากได้เนื้อเสียงแน่น ๆ แนวซีรีส์นี้อยู่ และด้วยความที่เป็นหูฟังแบบ In-Ear จึงโดดเด่นกว่าในด้านการขับเบสและตัดเสียงภายนอกได้ดีกว่าด้วยครับ
แนวเสียงออกไปทางโทนอุ่น ๆ ปลายเสียงสูงมน เบสแน่น แต่ไม่ได้แรงเท่าหูฟังตัวอื่น ๆ ของแบรนด์ ซึ่งเป็นข้อดีของการจูนเสียงสไตล์ Quantum เนื่องจากต้องดันเสียงกลางและสูงที่เป็นเสียงเอฟเฟคอื่น ๆ ของเกมออกมาด้วย ผลลัพธ์ที่ได้คือความเต็มอรรถรสในการเล่นเกม ฟังเพลงได้อย่างสนุกด้วย รองรับการเชื่อมต่อผ่านสาย AUX 3.5 มิลลิเมตร ใช้ได้กับทุกแพลตฟอร์ม ทั้งแอนดรอยด์, iOS และเครื่องเกมแบบพกพาต่าง ๆ ครับ
ประเภท | In-Ear |
ขนาดไดร์เวอร์ | 8.6 mm |
การเชื่อมต่อ | มีสาย AUX 3.5mm |
ไมโครโฟน | ✓ |
สี | Black |
3. UA True Wireless Streak Headphones
ราคาโดยประมาณ 2,590 บาท
เป็นหูฟัง JBL ที่น่าสนใจสุด ๆ โดยเฉพาะกับสายออกกำลังกายที่เป็นแฟนตัวยงของแบรนด์ UNDER ARMOUR เพราะ UA True Wireless Streak Headphones คือการ Collaboration ระหว่างแบรนด์เครื่องเสียงระดับโลกอย่าง JBL กับผู้นำแบรนด์เสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬาชั้นนำจากประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างอันเดอร์อาร์เมอร์ จึงออกมาเป็นหูฟังรูปร่างหน้าตาสุดเท่ พร้อมฟังก์ชันจัดเต็มแบบดุดันไม่เกรงใจรุ่นอื่น ๆ ซึ่งออกแบบมาเพื่อการออกกำลังกายโดยเฉพาะเลยครับ
และเพื่อการออกกำลังกายอย่างปลอดภัยจึงมีฟังก์ชัน Bionic Hearing ที่จะหยุดเพลงและรับเสียงจากภายนอกโดยไม่ต้องถอดหูฟัง พร้อมไมค์ที่คอยรับเสียงจากภายนอกเข้ามาในขณะที่กำลังฟังเพลงอยู่ ช่วยอุดจุดด้อยของหูฟังแบบ In-Ear ที่จะปิดกั้นเสียงรอบตัว ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอันตรายในขณะวิ่งได้ มาพร้อมคุณสมบัติเด็ดในการเป็นหูฟังออกกำลังกาย ด้วยมาตรฐานการกันน้ำระดับพายุ (น่าจะโดนพายุพัดหายไปก่อน) StormProof IPX7 จะออกกำลังกายหนักหน่วงเหงื่อชุ่มแค่ไหน หรือตากฝนก็ทำอันตรายใด ๆ หูฟังตัวนี้ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงสามารถทำความสะอาดด้วยการล้างน้ำได้ มันเริ่ดตรงนี้ล่ะครับ
ประเภท | In-Ear |
ขนาดไดร์เวอร์ | 5.8 mm |
การเชื่อมต่อ | Bluetooth |
ไมโครโฟน | ✓ |
สี | Black กันน้ำ IPX7 |
4. JBL Tune 110
ราคาโดยประมาณ 415 – 490 บาท
หูฟัง JBL Tune 110 In-Ear แบบมีสาย ราคาสบายกระเป๋า อัดแน่นด้วยคุณภาพและฟีเจอร์สำคัญ ติดตั้งไดรเวอร์ Full Range ขนาด 9 มิลลิเมตร ปรับจูนเสียงเบสให้มีความหนักแน่นทรงพลังแบบ JBL Pure Bass Sound จึงฟังเพลงสนุก ได้อารมณ์หูฟังรุ่นใหญ่ราคาสูง มีไมโครโฟนที่สายสำหรับคุยโทรศัพท์ พร้อมคุณภาพการโทรที่ยอดเยี่ยม ไมค์รับเสียงได้ดี ได้ยินเสียงปลายสายชัดเจน มีปุ่มควบคุมการรับสาย/วางสาย เป็นสายแบน ทนทาน ไม่หักงอง่าย และไม่พันกันมั่วด้วยครับ
บอดี้ทำจากพลาสติกอย่างดี กะทัดรัด น้ำหนักเบา ออกแบบมาให้สวมใส่สบาย โดยจุกหูฟังเป็นวัสดุซิลิโคน มีความเหนียว ทนทาน กันน้ำกันเหงื่อได้ สวมใส่แน่นกระชับ ช่วยกันเสียงภายนอกได้ดี แล้วยังให้จุกหูฟังมาถึง 3 ขนาด คือ S, M และ L ให้เลือกใส่ได้พอดิบพอดีกับขนาดรูหูของผู้ใช้งาน แนะนำเลยสำหรับใครที่กำลังหาหูฟัง In-Ears ใช้งานง่าย ๆ ทน ๆ เสียงดี ราคาไม่แพง ต้องรุ่นนี้เลยครับ
ประเภท | In-Ear |
ขนาดไดร์เวอร์ | 9 mm |
การเชื่อมต่อ | มีสาย AUX 3.5mm |
ไมโครโฟน | ✓ |
สี | Black / Blue / White / Red |
5. JBL Quantum 100
ราคาโดยประมาณ 1,590 บาท
หูฟัง JBL แบบครอบหู Quantum 100 น้องเล็กสุดจาก Quantum Series ในสาย Gaming Headphone ใช้ Windows Sonic Spatial Sound ฟีเจอร์เสียงรอบทิศทางทำงานอัตโนมัติกับเครื่อง Windows และ XBOX ONE มาพร้อมไดนามิกไดรเวอร์ขนาด 40 มิลลิเมตร เสียงกระชับฟังง่าย เบสหนักแรงปะทะสูงตามสไตล์หูฟังเกมมิ่ง ขับเสียงเอฟเฟคได้เร้าใจ สามารถระบุตำแหน่งได้ง่าย เสียงพูด เสียงบรรยายต่าง ๆ ไปจนถึงเสียงเพลงในเกม ถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมเลยครับ
วัสดุเป็นพลาสติกแข็งทั้งชิ้น มีน้ำหนักเบา เพียง 220 กรัม มีปุ่มควบคุมอยู่บนตัวหูฟัง โดยเป็น Volume Wheel และปุ่มปิด-เปิดไมโครโฟน เชื่อมต่อผ่านสาย AUX 3.5 มิลลิเมตร ใช้ได้หลากหลายแพลตฟอร์มเหมือนรุ่นอื่น ๆ แต่ที่แตกต่างจากในตระกูลเดียวกันคือสามารถถอดส่วนที่เป็นไมโครโฟนออกได้ ดังนั้นนอกจากจะโดดเด่นในเรื่องของการเล่นเกมแล้ว ยังสามารถเป็นหูฟังฟังเพลงได้ดีด้วยนะครับ
ประเภท | Over-Ear |
ขนาดไดร์เวอร์ | 40 mm |
การเชื่อมต่อ | มีสาย AUX 3.5mm |
ไมโครโฟน | ✓ |
สี | Black / Blue / White |
6. JBL Endurance RUN
ราคาโดยประมาณ 1,352 บาท
วิ่งไปข้างหน้าแบบไม่มีอะไรมาขวางกั้น ด้วยหูฟัง JBL Endurance RUN BT หูฟังประเภท In-Ear ที่ออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับการวิ่งและการออกกำลังกายโดยเฉพาะ ซึ่งตัวหูฟังในซีรี่ส์ Endurance นี้เขามาพร้อมคอนเซ็ปต์ Never Hurt Never Fall Out นั่นก็คือ ใส่แล้วไม่เจ็บ ไม่หลุด และด้วยการออกแบบ FlipHook™ จึงสามารถใส่ห้อยสายปกติ หรือใส่คล้องหลังใบหูก็ได้ หูฟัง FlexSoft™ ช่วยให้มีน้ำหนักเบาใส่สบาย และเทคโนโลยี TwistLock™ ซึ่งออกแบบซิลิโคนยางให้สวมใส่แล้วล็อคแน่นเข้ากับหูไม่หลวมหลุดง่ายครับ
นอกจากนี้แล้วยังเป็น Magnetic Buds ซึ่งฝังแม่เหล็กไว้บริเวณส่วนหน้าสัมผัสโลโก้บนหูฟัง เวลาเราถอดหูฟังคล้องไว้กับคอ สามารถเอาตัวหูฟังสองข้างประกบติดกันไว้เพิ่มความมั่นใจว่าเราจะไม่เผลอทำร่วงหายไปด้วย มาตรฐานกันน้ำ IPX5 กันเหงื่อและฝนได้ดี จะวิ่งกลางแดดหรือฝนตกเบา ๆ ก็ไม่มีปัญหา ใช้เป็นแฮนด์ฟรีก็สะดวก มีให้เลือกทั้งสีดำ สีแดง และสีเหลือง ชอบสีไหนก็จัดมาใช้กันได้เลยครับ
ประเภท | In-Ear |
ขนาดไดร์เวอร์ | 8 mm |
การเชื่อมต่อ | Bluetooth |
ไมโครโฟน | ✓ |
สี | Black / Red / Yellow กันน้ำ IPX5 |
7. JBL Wave 200TWS
ราคาโดยประมาณ 2,990 บาท
จับเสียงเบสทุ้ม ๆ นุ่ม ๆ ไว้ที่หูคุณ กับหูฟัง JBL รุ่น Wave 200TWS หูฟัง Earbuds ไร้สาย ที่ให้เสียงเบสนุ่มลึกด้วยไดร์เวอร์ขนาด 8 มิลลิเมตร มาในเคสชาร์จขนาดกะทัดรัดน้ำหนักเบาพกพาสะดวก แถมใช้งานได้นานสูงสุดถึง 20 ชั่วโมง ควบคุมด้วยระบบสัมผัสแค่แตะที่ตัวหูฟังก็สามารถควบคุมการรับสาย ฟังเพลง หรือสั่งการด้วยเสียงก็ทำได้ และยังมีระบบ dual connect จึงใช้งานแยกข้างได้อย่างอิสระ จะฟังเพลงข้าง รับสายข้าง หรือใช้ข้างเดียว เก็บอีกข้างชาร์จไว้ก็ได้ครับ
ตัวหูฟังใส่กระชับและออกแบบตามหลัก Ergonomics หรือการยศาสตร์ เพื่อการสวมใส่ที่สะดวกสบายตลอดการใช้งาน มีสีสันให้เลือกถึง 4 สี ดำ, ขาว, ฟ้า และม่วง หรือใครจะใส่ออกกำลังกายก็ได้เหมือนกัน มีมาตรฐาน IPX2 กันเหงื่อและละอองน้ำได้เล็กน้อย (โดนฝน ลงน้ำไม่ได้นะ) คุณภาพเสียงสมราคาในงบ 3,000 บาท เป็นตัวเลือกอีกรุ่นที่น่าสนใจเลยครับ
ประเภท | Earbuds |
ขนาดไดร์เวอร์ | 8 mm |
การเชื่อมต่อ | Bluetooth |
ไมโครโฟน | ✓ |
สี | Black / White / Blue / Purple |
8. JBL Tune 290
ราคาโดยประมาณ 490 บาท
จัดเป็นหูฟัง In-Ear ราคาน่ารักน่าคบอีกรุ่นหนึ่ง สำหรับหูฟัง JBL TUNE 290 ใครที่คิดว่าหูฟังมีสายนั้นจะพันกันยุ่งเหยิงวุ่นวาย จะแกะก็หงุดหงิดรำคาญ ตัวนี้หมดปัญหา เพราะเขาเป็นสายแบนที่ออกแบบมาเพื่อไม่ให้เกิดการพันกัน เพราะงั้นสบายใจได้ แถมยังมาพร้อมสีให้เลือกทั้ง สีดำ, สีเงิน หรือโทนหรูหราอย่าง สีโรสโกลด์ และสีแชมเปญโกลด์
ตัวบอดี้ผลิตจากอะลูมิเนียมคุณภาพดี มีความแข็งแรงทนทาน ส่วนของคุณภาพเสียงก็เป็นมาตรฐานการปรับจูนเสียงแบบ JBL Pure Bass Sound ไดร์เวอร์ขนาด 8.7 มิลลิเมตร จึงให้เสียงเบสที่ลึก และลงรายละเอียดเครื่องดนตรีต่าง ๆ ได้ดีพอสมควร ควบคุมง่ายด้วยปุ่ม Multi-Function ปุ่มเดียวใช้เล่นเพลงหรือรับสายได้หมด อุปกรณ์ครบ ซองใส่สำหรับพกพา จุกยางซิลิโคน 3 ไซส์ คุณภาพไม่ถึงกับสูงเวอร์วังแต่ถือว่าคุ้มค่ากับราคาแน่นอนครับ
ประเภท | In-Ear |
ขนาดไดร์เวอร์ | 8.7 มิลลิเมตร |
การเชื่อมต่อ | มีสาย AUX 3.5mm |
ไมโครโฟน | ✓ |
สี | Black / Silver / Rose Gold / Champaign Gold |
9. JBL Wave 100TWS
ราคาโดยประมาณ 1,790 บาท
หูฟัง JBL Wave 100TWS เป็นแบบ Earbuds ที่ดีไซน์สวยเท่เตะตามาก ๆ การันตีการออกแบบได้จากรางวัลระดับนานาชาติอย่าง Red Dot Design Award ปี 2021 ของเยอรมนี มีขนาดเล็กกะทัดรัดและน้ำหนักเบา มาในเคสชาร์จแบบไม่มีฝา จะหยิบจะเก็บก็สะดวก พร้อมสีสันให้เลือก 4 สีแจ่ม ๆ ดำ, ฟ้า, ม่วง และไอวอรี่ (ขาวงาช้าง)
ส่วนของคุณภาพเสียงได้ไดร์เวอร์ขนาด 8 มิลลิเมตร และการปรับจูนเสียง JBL Deep Bass Sound มั่นใจเรื่องเสียงระดับคุณภาพได้เลย แยกการทำงานหูฟังซ้าย-ขวา ด้วยระบบ dual connect จะใช้งานข้างนึง ชาร์จไว้อีกข้างนึง ก็ช่วยเซฟแบตได้ดีเลยทีเดียว ตัวหูฟังใช้งานได้ยาว 5 ชั่วโมง ตัวเคสชาร์จอีก 15 ชั่วโมง รวมแล้วใช้งานได้นานถึง 20 ชั่วโมง กันไปเลยครับ
ประเภท | Earbuds |
ขนาดไดร์เวอร์ | 8 mm |
การเชื่อมต่อ | Bluetooth |
ไมโครโฟน | ✓ |
สี | Black / Ivory / Blue / Purple |
10. JBL Tune 230NC TWS
ราคาโดยประมาณ 3,900 บาท
หูฟัง JBL Tune 230NC TWS สไตล์ Earbuds รุ่นนี้โดดเด่นมากในฟังก์ชั่นเรื่องการตัดเสียงรบกวน Adaptive Noise Cancelling เป็นเทคโนโลยีที่ JBL พัฒนามาโดยเฉพาะ ตัดเสียงรบกวนได้เงียบสนิท มีไมโครโฟนอีก 2 ใน 4 ตัวที่มีทั้งฟังก์ชันตัดเสียงรบกวนพร้อมรับเสียงสนทนา จึงให้เสียงที่กระจ่างคมชัด และมีเทคโนโลยี TalkThru ช่วยให้สามารถพูดคุยกับคนอื่นได้ทันทีโดยไม่ต้องถอดหูฟังออกครับ
ไดร์เวอร์ขนาด 6 มิลลิเมตร คุณภาพเสียงมาตรฐาน JBL Pure Bass Sound ให้เสียงเบสคมชัด ใช้งานได้นานสูงสุดรวม 40 ชั่วโมง และมี Speed Charge ในเวลาเร่งด่วน ชาร์จเพียง 10 นาที ก็ใช้สามารถงานได้ยาว ๆ 2 ชั่วโมง มีน้ำหนักเบา สวมใส่สบาย ส่วนของมาตรฐานกันน้ำได้ระดับ IPX4 กันเหงื่อและละอองน้ำได้เล็กน้อย ไม่แนะนำให้ใส่ไปตากฝนหนัก ๆ น๊าาา
ประเภท | Earbuds |
ขนาดไดร์เวอร์ | 6 mm |
การเชื่อมต่อ | Bluetooth |
ไมโครโฟน | ✓ |
สี | Black / White / Blue / Sand |
เป็นยังไงกันบ้างครับ กับการรีวิว “หูฟัง JBL” รุ่นไหนดี ถึง 10 รุ่น 10 คู่ด้วยกัน ก็ไม่ทราบว่าสนใจ อยากจะซื้อรุ่นไหน คู่ไหน ไปใช้ใส่ฟังเพลง ไปใช้ใส่เล่นเกม หรือไปใช้ใส่เล่นกีฬากันบ้างครับ ?? ก็จากที่เห็น ๆ มาเนี่ย ก็มีหูฟังให้เลือกซื้อไปใช้งานหลากหลายแบบ และราคาที่แตกต่างกันออกไป ยังไงตอนเลือกซื้อก็อย่าลืมดูงบประมาณและความต้องการที่ตนมีกันด้วยเนาะ สุดท้ายก็ขอให้ได้รุ่นที่ถูกใจ ใส่แล้วชอบ ตอบโจทย์ ฟังเพลงสนุก เล่นเกมสนุก ใส่แล้วไม่เจ็บหูกันด้วยครับ
ทำงานด้านสื่อโฆษณามานานกว่า 5 ปี เป็นนักซื้อตัวยง ที่มีประสบการณ์ใช้สินค้ามากมายหลายอย่าง เลยมีบทความใหม่ๆ ออกมาชวนผู้อ่านให้ซื้อสินค้ากันบ่อย ๆ ทั้งของอาหารเสริม เทคโนโลยี แกดเจ็ต ของใช้ในบ้าน และอื่น ๆ คัดเลือกสินค้ามาแล้วซื้อตามไม่มีผิดหวังแน่ ๆ