
โรค “เซ็บเดิร์ม” เนี่ย เอาจริง ๆ มันก็ไม่ได้มีอันตรายต่อชีวิตหรอกครับ แต่ ๆๆๆๆๆๆ เวลาเกิดอาการเซ็บเดิร์มแต่ละที เล่นเอาความมั่นใจของคนเราลดฮวบเลยทีเดียวและไอ้เจ้าเซ็บเดิร์มเนี่ย ดันเกิดตรงไหนไม่เกิด ดันชอบมาเกิดบนผิวหน้าของคนเรา! จากที่หน้าตาผิวพรรณพอดูได้ ถ้าเซ็บเดิร์มแวะมาเมื่อไร หน้าพังพินาศเมื่อนั้น มีอาการผื่นแดงเต็มหน้า ถ้าเป็นหนัก ๆ ก็ผิวหน้าลอกออกมาเป็นขุย ๆ แผ่น ๆ คล้าย ๆ กับแผ่นรังแคบนหนังหัวของคนเรา หน้าแห้งแตกแบบสุด ๆ จากผิวหน้าเรียบเนียนกลายเป็นผิวหน้าถนนลูกรังดูไม่ได้เลยทีเดียว และถ้ายิ่งต้องทำงานพบปะเจอผู้คนด้วยแล้วละก็ จะเอาความมั่นใจจากที่ไหนไปเจอกันละครับบ
และที่น่าเบื่อที่สุด เจ้าเซ็บเดิร์มรักษาไม่หายขาดนะครับ เป็นอาการเรื้อรังผลุบ ๆ โผล่ ๆ น่าเบื่อมากที่สุด เพราะฉะนั้น วิธีการรักษาเซ็บเดิร์มที่ดีที่สุดคือ การป้องกันไม่ให้เจ้าเซ็บเดิร์มมันเกิดนั้นเอง ซึ่งจากประสบการณ์ของผมที่อยู่คู่กับเจ้าเซ็บเดิร์มมาอย่างยาวนานมากถึง 10 กว่าปี วันนี้จึงอยากมาขอรีวิว วิธีการที่ตัวผมคิดว่าทำแล้ว ช่วยรักษาและลดอาการของเซ็บเดิร์มลงไปได้ ไปกู้หน้าพังให้เป็นหน้าดีกันเถอะครับ ตามมาเลย
สารบัญครับผม
รีวิว วิธีการ รักษา “เซ็บเดิร์ม” ที่ควรทำเป็นประจำ

หน้าแดง หน้าลอก หน้าพังแบบสุด ๆ แบบนี้จะกล้าออกไปเจอใครละครับ และยิ่งเวลาผมเป็นหนัก ๆ มันลามไปถึงหลังใบหู ตามซอกคอด้วยเลย เฮ้ออ ก็ต้องดูแลรักษากันไปครับ
เป็นวิธีการที่ตัวผมทำอยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ โดยผมจะเรียงลำดับความสำคัญจากบนลงล่างไปเลยว่า วิธีการไหนที่ดีที่สุดในการต่อกรกับเจ้าเซ็บเดิร์มครับ
1. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

เคยสังเกตกันไหมครับ เมื่อไรนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอแล้วละก็ เจ้าผื่นแดง ๆ เซ็บเดิร์มมาเยี่ยมเยียนตลอดเลย และจากประสบการณ์ของผมเองที่เคยทำงานหนักติดต่อกันหลายวันแล้วนอนหลับไม่เพียงพอ ช่วงนั้นนอนแค่ 3-4 ชั่วโมงต่อวันนั้น ก็เป็นช่วงที่ร่างกายโทรมมาก ๆ และเจ้าเซ็บเดิร์มก็มาแบบโหดสุด ๆ หน้าพังแบบสุด ๆ ด้วย
และจากที่ได้ต่อสู้คลุกคลีกับเจ้าเซ็บเดิร์มมาอย่างเนิ่นนาน ผมขอบอกเลยว่า “ต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ” เป็นอะไรที่สำคัญมากที่สุดและเป็นวิธีการป้องกันที่ดีที่สุด ดียิ่งกว่าการใช้สกินแคร์เสียอีก สกินแคร์ไม่ว่าจะเทพขนาดไหน ถ้านอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็เอาเจ้าเซ็บเดิร์มไม่อยู่ครับ
2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

อย่างที่รู้กันว่า เซ็บเดิร์มเวลาเกิดแล้วมันเหมือนทำให้หน้าแห้งมาก หน้าดูไม่มีน้ำมีนวลแบบสุด ๆ ผัวหน้าก็ลอกเอา ๆ เป็นแผ่น ๆ ด้วย ทำให้พอเกิดเซ็บเดิร์มแต่ละครั้ง ผมจะพยายามดื่มน้ำเพิ่มเติมมากกว่าปกติ คิดว่าหน้าแห้งเลยต้องเติมน้ำเข้าไป และจากที่ได้สังเกตการใช้ชีวิตของตัวเองมา การดื่มน้ำมีผลดีพอ ๆ กับการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเลยครับ
3. ทานมะเขือเทศเป็นประจำเพื่อต่อสู้ รักษา “เซ็บเดิร์ม”

อย่างที่รู้ ๆ กันนะครับว่า มะเขือเทศถือว่าเป็นผักที่ช่วยบำรุงในเรื่องของผิวพรรณได้เป็นอย่างดี และเนื่องจากตัวผมเองอายุเริ่มมากขึ้น ก็เลยอยากจะบำรุงผิวพรรณตัวเองสะหน่อย หวยก็เลยมาตกที่ “การทานมะเขือเทศเป็นประจำ” โดยผมจะชอบทานมะเขือเทศราชินีวันละ 12-15 ลูก ลูกมันเล็ก ๆ ทานง่ายดีครับ ยิ่งแช่ตู้เย็นด้วย ทานสด ๆ เย็น ๆ ก็อร่อยเลย
ส่วนที่ทานมะเขือเทศเนี่ย คือไม่ได้กะทานเพื่อรักษาเซ็บเดิร์มเลยนะครับ แค่อยากบำรุงผิวหน้าผิวกายตัวเองเฉย ๆ แต่จากที่สังเกตมา ตั้งแต่ทานมะเขือเทศแล้วรู้สึกว่า เจ้าเซ็บเดิร์มมาเยี่ยมน้อยกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญ แตกต่างจากช่วงที่ไม่ทานมาก ๆ เพราะฉะนั้นใครที่ยังไม่ทานมะเขือเทศ รีบหามาทานได้เลยครับ
4. ทานแอปเปิลด้วยยิ่งดี

คือก่อนที่ผมจะทานมะเขือเทศเป็นประจำ ผมทานแอปเปิลอยู่แล้ว โดยจะทานวันละ 1 ผล จะทานสีแดงหรือสีเขียวก็ได้ เอาตามที่ชอบเลย ซึ่งจากประสบการณ์ของตัวเองก็พบว่า “แอปเปิล” มันก็ช่วยลดและรักษาเซ็บเดิร์มได้ ผมเคยสังเกตช่วงที่ทานกับไม่ทาน รู้สึกว่าตอนไม่ทานแอปเปิลเนี่ย เป็นหวัดง่ายมากและเจ้าเซ็บเดิร์มก็ชอบมาตอนเราอ่อนแอด้วย พอทานแอปเปิลเป็นประจำแล้ว เซ็บเดิร์มก็ไม่ค่อยมาเลย แต่ก็ยังมาอยู่บ้างครับ
ในความรู้สึกผม มะเขือเทศดีกว่าแอปเปิล แต่ถ้าอยากจะให้ดีสุด ๆ ผมแนะนำว่า ทานทั้งสองอย่างเลยครับ ช่วยป้องกันการมาของเซ็บเดิร์มได้ดีแบบสุด ๆ แต่ถ้านอนไม่เพียงพอก็ตกม้าตายเหมือนกันครับ
รีวิว สกินแคร์ที่ผมใช้สำหรับรักษาเซ็บเดิร์ม
จากประสบการณ์ของตัวผมเอง วิธีการจากสี่ข้อด้านบนมีความสำคัญมากกว่าการใช้สกินแคร์นะครับ โดยเฉพาะข้อ 1 และ 2 แต่ยังไงเราก็ควรที่จะบำรุงผิวหน้าเพิ่มเติม เพื่อป้องกันและรักษาเซ็บเดิร์มนั้นเอง แต่ ๆๆ เนื่องจากคนที่มีอาการของเซ็บเดิร์มเนี่ย จะทำให้ผิวหน้าค่อนข้างจะถูกจำกัดอยู่ในกลุ่ม “ผิวแพ้ง่าย” การที่จะเลือกใช้สกินแคร์อะไรต่าง ๆ ก็ควรจะเลือกจาก “ใช้แล้วหน้าไม่แพ้” เป็นข้อสำคัญสุดครับ
ต่อไปนี้ จะมารีวิวสกินแคร์ที่ผมใช้เป็นประจำเพื่อบำรุงผิวหน้า ส่วนใหญ่จะเป็นสกินแคร์ที่มีความอ่อนโยนแบบสุด ๆ และทุกตัวที่ผมใช้ ผมไม่เกิดอาการแพ้เลย แต่หน้าใครก็หน้ามันนะครับ ผมใช้แล้วไม่แพ้ ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่แพ้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเลือกกันดี ๆ ด้วย ถ้าเป็นไปได้ ผมแนะนำให้เลือกซื้อขนาดเล็กมาลองดูก่อน ถ้าใช้แล้วไม่แพ้ ใช้แล้วดีอย่างไร ค่อยไปจัดไซส์ใหญ่ทีหลังเอาครับ
1. รักษาเซ็บเดิร์ม ด้วยการใช้ Eucerin UltraSENSITIVE Repair Cream บำรุงผิวหน้า

ราคาโดยประมาณ 1,170 บาท ต่อ 50 ml
ถ้าพูดถึงครีมบำรุงผิวหน้าสำหรับคนเป็นเซ็บเดิร์ม การที่จะหาครีมที่ดีที่เหมาะสำหรับผิว ก็แอบต้องใช้เวลาและเงินอยู่เหมือนกันนะครับ โดยผมเองก็ทดลองใช้มาแล้วหลายยี่ห้อ บางยี่ห้อใช้แล้วไม่แพ้ แต่ก็ไม่รู้สึกถึงการบำรุงเท่าไร ส่วนบางยี่ห้อคือไม่ได้เลย ใช้แล้วผิวหน้าแพ้แบบสุด ๆ แอบเสียดายเงินกันเลยทีเดียว ผมก็หาไปหามาจนเพื่อนสงสาร ได้แนะนำให้ลองมาใช้ครีมของ Eucerin UltraSENSITIVE Repair Cream ดู ซึ่งเพื่อนก็บอกว่า แบรนด์เนี่ยเขาขึ้นชื่อเรื่องสกินแคร์สำหรับคนผิวแพ้ง่ายอยู่แล้ว อีกทั้งครีมตัวนี้ ก็ไม่มีส่วนผสมของพวกพาราเบนสารกันเสียต่าง ๆ ไม่มีแอลกอฮอล์ ไม่มีน้ำหอม และไม่ก่อให้เกิดการอุดตันด้วย ดูรวม ๆ ก็น่าจะตอบโจทย์สำหรับผิวแบบผมมาก ๆ
และจากที่ผมได้ลองดูส่วนผสมของตัวครีม ก็พบว่า มีส่วนผสมที่น่าสนใจอย่าง SYMSITIVE ที่จะมาช่วยลดความแสบคันยิบ ๆ ของผิว เสริมทัพด้วย LICOCHALCONE ช่วยลดอาการอักเสบแดง และยังมี DEXPANTHENOL มาช่วยบำรุงโครงสร้างของผิวให้แข็งแรง รวมถึงยังลดอาการผิวแห้งต่าง ๆ ด้วย นอกจากนี้ ตัวครีมยังได้ผ่านการทดสอบมาแล้วว่า มีประสิทธิภาพช่วยลดผื่นแดงและการอักเสบเทียบเท่ากับ Steroids เลยทีเดียว! ก็เห็นคุณสมบัติกันขนาดนี้แล้ว ผมก็ไม่พลาดที่จะได้ซื้อมาใช้ดูครับ
และหลังจากที่ได้ลองใช้มาสักระยะคือ เฮ้ย! โอเคเลยนะ อันดับแรกคือ ผิวไม่แพ้! ใช้จนหมดขวดแล้วก็ไม่แพ้ ไม่มีเซ็บเดิร์ม หรือผื่นแดง ๆ ขึ้นหน้าเลย อีกทั้งหน้าก็ไม่แห้ง มีความชุ่มชื้น ดูผิวมีสุขภาพที่ดีขึ้น และที่สำคัญ ข้อที่ผมประทับใจมากก็คือ ใช้แล้วช่วยให้ผิวหน้าแข็งแรงขึ้นมาก ซึ่งปกติคนที่เป็นเซ็บเดิร์มเวลาทำงานหนัก อดหลับอดนอน ร่างกายไม่แข็งแรงเนี่ย เอาล่ะ เซ็บเดิร์มเริ่มโผล่มาให้เห็นกันใช่ป่ะครับ แต่หลังจากที่ได้ใช้ Eucerin คือรู้สึกได้เลยว่า ช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ เซ็บเดิร์มก็ยังโผล่มานะ แต่โผล่มาน้อยมากกกก น้อยจริง ๆ อาการแสบคันก็ไม่มี สบายผิวขึ้นเยอะ และเพียงแค่ผมปรับตัว พักผ่อนให้มากขึ้น กับทา Eucerin อยู่เหมือนเดิม ไม่กี่วันเจ้าผื่นแดง ๆ สาก ๆ นี้ก็สงบ หายไปเลยด้วย คือยอมรับเลยว่า Eucerin Repair Cream บำรุงได้สุดจริง จนไม่อยากให้คนที่เป็นเซ็บเดิร์มพลาดกันเลยครับ!
2. รักษาเซ็บเดิร์ม ด้วยการใช้ น้ำตบ MizuMi Marine Sugar White Essence บำรุงผิวหน้า

ราคาโดยประมาณ 950 บาท ต่อ 125 ml
ขอบอกเลยว่าตั้งแต่มาเจอน้ำตบ MizuMi Marine Sugar White Essence ตัวนี้ ถูกใจมาก ๆ ใช้เป็นประจำจนหมดไปหลายขวดแล้วครับ ที่ถูกใจเพราะ “ไม่แพง ไม่แพ้ และไม่มีส่วนผสมของพาราเบน น้ำหอม และแอลกอฮอล์” ครับ
และทาง MizuMi เขายังเคลมด้วยว่า ใช้เป็นประจำภายใน 1 สัปดาห์ ผิวจะดูชุ่มชื้นกระจ่างใส และภายใน 1 เดือน ผิวจะดูเปล่งปลั่งมีออร่ามากกว่าที่เคย แต่เอาจริง ๆ ผมไม่ค่อยรู้สึกถึงความกระจ่างใสเท่าไรนะครับ สีของผิวหน้าก็ยังดูเดิม ๆ แต่ที่รู้สึกได้ดีกว่าเดิมคือ ผิวหน้าดูชุ่มชื้น ไม่แห้ง ผิวดูอิ่ม ๆ มากกว่าตอนที่ไม่ใช้ครับ ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักของผมเลยที่ต้องการให้หน้าไม่แห้ง หน้าดูมีน้ำมีนวลครับ
ผมจะชอบใช้น้ำตบตัวนี้หลังจากล้างหน้าแล้ว เยาะ ๆ น้ำตบลงบนฝ่ามือ 4-5 หยด (หน้าผมใหญ่เลยต้องใช้เยอะนิดหนึ่ง) จากนั้นก็ทาหน้าเลยครับ ไม่นงไม่นวลไม่วอร์มน้ำตบแล้วเพราะขี้เกียจ ก็เอาฝ่ามือทาและแปะ ๆ ทั่วหน้าเลย ซึ่งผมยอมรับเลยนะว่า น้ำตบตัวนี้มันอ่อนโยนมาก ขนาดไหลเข้าตาแล้วไม่ค่อยแสบเลยครับ แสบนิดเดียวจริง ๆ แต่ก็พยายามอย่าให้อะไรไหลเข้าตาละกันครับ
3. รักษาเซ็บเดิร์ม ด้วยการใช้ Eucerin pH5 Facial Cleanser ล้างหน้า

ราคาโดยประมาณ 198 / 531 บาท ต่อ 100 / 400 ml
สำหรับใครที่มีผิวแพ้ง่ายกับผิวเป็นเซ็บเดิร์ม และได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าไปหลาย ๆ ยี่ห้อก็แล้ว แต่ยังไม่เจอที่ถูกใจ ใช้แล้วหน้ายังแพ้กันอยู่ ผมอยากให้ลองเจลล้างหน้าจาก Eucerin pH5 Facial Cleanser ตัวนี้กันเลยครับ ซึ่งเหตุผลแรก ๆ ที่ทำให้ผมกล้าซื้อมาใช้กันก็คือ ตัวเจลไม่มีส่วนผสมของพวกสารที่จะก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว ไม่มีทั้งสารกันเสีย น้ำหอม แอลกอฮอล์ หรือสบู่ ผสมอยู่แม้แต่น้อย อีกทั้งทางแบรนด์ยังเคลมมาว่า ตัวเจลไม่ก่อให้เกิดการอุดตันอีกด้วย จึงช่วยลดความกังวลใจเรื่องการแพ้ไปได้เปราะหนึ่ง และอีกส่วนที่น่าสนใจก็คือ การมีค่า pH Balance ที่เหมาะสม ทำให้เวลาใช้ล้างหน้า ผิวก็จะไม่ถูกรบกวนจนเกินไป รวมถึงมีการปรับสมดุล ช่วยให้ผิวแข็งแรง ไม่ไวต่อการแพ้สิ่งต่าง ๆ ด้วยครับ
ส่วนตัวเจล ก็เป็นเจลใส ๆ ที่มีความเหนียวหนืดเล็กน้อย และหลังจากที่ได้ลองใช้ล้างหน้า ผมรู้สึกว่า หน้าสะอาดนะ มีการล้างพวกคราบมันคราบสกปรกต่าง ๆ ได้ดี แต่ที่รู้สึกชอบเป็นพิเศษก็คือ ล้างแล้วหน้าไม่แห้งเลย! หน้ายังคงความชุ่มชื้น ผิวมีความนุ่มนิ่มอยู่ ซึ่งไม่เหมือนผลิตภัณฑ์ล้างหน้าบางยี่ห้อที่ล้างทีหน้าสะอาด แต่หน้าแห้งมากก แสบผิวกันเลยทีเดียว และที่สำคัญ Eucerin pH5 ไม่ทำให้ผิวหน้าผมเกิดเซ็บเดิร์มอีกด้วย สมกับเป็นแบรนด์ที่เน้นความอ่อนโยน ไม่ทำให้ผิวระคายเคือง รวมถึงช่วยรักษาสมดุลผิวได้ดี ก็ตั้งแต่ผมได้มาเจอเจลล้างหน้าตัวนี้คือ ติดใจ หมดแล้วซื้อใช้ซ้ำเรื่อย ๆ ไม่กลัวเรื่องการแพ้ เรื่องการทำความสะอาดผิวหน้าอีกต่อไปครับ
4. บำรุงผิวหน้าเพิ่มเติมด้วยเซรั่ม BIOTHERM LIFE PLANKTON™ ELIXIR

ราคาโดยประมาณ 1,700 / 2,300 บาท ต่อ 30 / 50 ml
ตัวนี้ที่สนใจใช้เพราะเพื่อนแนะนำมาครับ แต่ตอนแรกไม่ค่อยอยากซื้อเท่าไรเพราะ “แพง” ครับ แต่ไหน ๆ เพื่อนก็แนะนำมาแล้วเลยลองไปดูส่วนผสมของเซรั่ม BIOTHERM LIFE PLANKTON™ ELIXIR ก่อนซื้อครับ พอไปดู ๆ แล้วก็พบว่า โอเคไม่มีพาราเบน แต่ดันมีน้ำหอมกับแอลกอฮอล์ เลยสองจิตสองใจกลัวซื้อมาใช้แล้วหน้าแพ้ แต่เพื่อนเขาก็บอกว่า ไม่น่าจะแพ้นะ เพราะน้ำหอมกับแอลกอฮอล์แบรนด์เขาใส่มานิดเดียว ผมก็เลยลองซื้อมาใช้ก็ได้
ตอนจ่ายเงินแอบมือสั่นนิดหน่อย มันแพงอะครับ พอได้มาแล้วก็ลอง ๆ ใช้ ผมจะพยายามใช้แค่ 2-3 หยดลงบนนิ้วมือ แล้วทาให้ทั่วหน้าหลังจากใช้น้ำตบแล้ว ตอนทาก็รู้สึกว่า เออมันซึมเร็วนะ พอใช้ไปสักระยะน่าจะสัก 1 สัปดาห์ ผิวหน้าผมดูดีขึ้นมากจริง ๆ ครับ หน้าดูอิ่มน้ำ ผิวดูนุ่ม ลองจับ ๆ ดูผิวก็ไม่แห้งเลย และที่สำคัญ ไม่แพ้ไม่เกิดเซ็บเดิร์มด้วย คือต้องยอมรับจริง ๆ ว่า เซรั่ม LIFE PLANKTON™ ELIXIR ตัวนี้ บำรุงผิวหน้าได้โหดจริง ๆ ครับ
5. บำรุงผิวหน้าด้วยเซรั่มทางเลือก Aesop Parsley Seed Anti-Oxidant Serum

ราคาโดยประมาณ 1,799 บาท ต่อ 100 ml
เนื่องจากเซรั่มของ Biotherm ค่อนข้างราคาแพง ผมเลยลองหาเซรั่มทางเลือกตัวอื่น ๆ ก็มาเจอกับเซรั่ม Aesop Parsley Seed Anti-Oxidant Serum ตัวนี้เลยครับ ที่สนใจเพราะว่า ราคาถูกลงมาและไม่มีส่วนผสมของพาราเบน น้ำหอม และแอลกอฮอล์เลย และมีบิวตี้บล็อคเกอร์หลายท่านได้มารีวิวเซรั่มตัวนี้ไว้ด้วย พอเซรั่มตัวบนหมดก็ลองซื้อตัวนี้มาใช้ครับ
เนื้อเซรั่มค่อนข้างเหนียวแต่ไหลง่ายมาก แค่หยดลงบนนิ้วแล้วไหลออกไปได้ง่าย ๆ เลย ตอนใช้จึงต้องรีบหยดรีบทาลงบนหน้าเลยครับ ถึงจะบอกว่าไม่มีน้ำหอมแต่ตอนทาก็ได้กลิ่นหอม ๆ ของเซรั่มด้วย บอกกลิ่นไม่ถูกแต่หอม ๆ สะอาด ๆ ครับ พอทาบนหน้าเสร็จแล้ว รู้สึกว่าเซรั่มมันเหนอะหนะใบหน้าไปหน่อยและก็รู้สึกเหนียว ๆ ครับ
จากที่ลองใช้มาเรื่อย ๆ ก็พบว่า ไม่เกิดอาการแพ้ ไม่เกิดผื่นแดง บำรุงหน้าได้ดีระดับหนึ่ง ผิวหน้าดูไม่แห้งกร้านดี แต่ผิวหน้าผมดูไม่ดีเท่าตอนใช้เซรั่ม LIFE PLANKTON™ ELIXIR ครับ อย่างไรก็ตาม เซรั่ม Aesop Parsley Seed Anti-Oxidant Serum ตัวนี้ราคาถูกกว่า และมันอาจจะใช้ได้ดีกับหน้าคุณมากกว่าด้วยครับ
6. รักษาเซ็บเดิร์ม แบบประหยัด ด้วยการใช้ น้ำมันมะพร้าวเพลิน เพื่อบำรุงผิวหน้า

ราคาโดยประมาณ 255 / 479 บาท ต่อ 500 / 1,000 ml
จริง ๆ ผมไม่ชอบทานมะพร้าวและไม่ชอบกลิ่นของมันด้วย แต่ด้วยสรรพคุณและเสียงรีวิวของน้ำมันมะพร้าวจากคนที่เป็นเซ็บเดิร์มหลาย ๆ คน จึงต้องหามาใช้บ้าง ตอนแรกที่ผมลองใช้น้ำมันมะพร้าวนั้น ผิวหน้าผมกลับแพ้ครับ ยังงงมากทำไมถึงแพ้ แต่ด้วยราคาที่ไม่แพงมากเลยไม่ค่อยเจ็บตัวเท่าไร หาไปหามาจึงมาลงตัวกับ น้ำมันมะพร้าวยี่ห้อเพลินครับ ที่เอายี่ห้อนี้มาแนะนำเป็นเพราะว่า “ผมใช้แล้วไม่แพ้” แค่นั้นเองครับ
ด้วยราคาที่ย่อมเยาของน้ำมันมะพร้าวบวกกับใช้แล้วไม่แพ้ ผมจึงใช้แบบไม่กลัวเปลืองเลยครับ กดเป็นกด ปั๊มเป็นปั๊ม ทาแบบหน้าเยิ้มเลยทีเดียว ผมชอบใช้ 2 กรณีคือ
- ก่อนล้างหน้าให้ใช้น้ำมันมะพร้าวทาหน้าก่อน ใช้เหมือนเป็นคลีนเซอร์รอบแรก จากนั้นจึงตามด้วย Cetaphil Gentle Skin Cleanser ครับ
- ใช้ทาบำรุงผิวหน้าทั้งก่อนนอนแบบมันเยิ้มกับทาบาง ๆ ตอนเช้า
จากที่ได้ใช้ ๆ มา ผมรู้สึกว่า โอเค น้ำมันมะพร้าวก็บำรุงผิวหน้าอยู่นะ เหมือนผิวหน้าก็ดูอิ่มน้ำ ดูไม่แห้ง และราคาก็ไม่แพงด้วย แต่ผลลัพธ์สู้เซรั่ม Biotherm ไม่ได้ และเวลาใช้แต่ละทีหน้าดูมันวาวมากครับ ยิ่งตอนทาก่อนนอนน้ำมันมะพร้าวมันชอบไปติดตามผ้าห่ม ปลอกหมอนด้วย พอผ่านไปนาน ๆ แล้วมันส่งกลิ่นเหม็นแบบแปลก ๆ ต้องคอยซักผ้าพวกนี้ตลอดเลยครับ แต่ถ้าใครอยากบำรุงผิวหน้าแบบประหยัด ก็เริ่มจากน้ำมันมะพร้าวก่อนได้เลย
7. รักษาเซ็บเดิร์ม แบบประหยัด อีกวิธีหนึ่งด้วย Vaseline Pure Petroleum Jelly Original

ราคาโดยประมาณ 205 / 425 บาท ต่อ 250 / 368 g
ถึงแม้ทางแบรนด์ Vaseline จะไม่แนะนำให้ใช้ Petroleum Jelly กับผิวหน้า แต่ผมขอบอกเลยว่าการใช้ Vaseline Pure Petroleum Jelly Original เป็นวิธีการที่ประหยัดและได้ผลดีมาก ๆ ในการบำรุงหน้าสำหรับผมครับ และที่กล้าใช้เพราะไปอ่านรีวิวของคนที่เป็นเซ็บเดิร์มว่า เขาใช้แล้วผิวหน้าดูแข็งแรงขึ้น และราคาวาสลีนก็ไม่แพงเลย ผมเลยไปจัดมาครับ
แต่เนื่องจากเนื้อของวาสลีนมันเป็นปิโตรเลี่ยมเจลลี่ ซึ่งเนื้อมันหนักมันเหนียวมาก ๆ และกลิ่นก็ออกน้ำมันแบบสุด ๆ ตอนใช้ทาแรก ๆ นี่แอบกลัวเลยครับ เพราะมันเหมือนกับทาน้ำมันเหนียว ๆ เคลือบหน้าเอาไว้เลย ต้องใช้เวลาสักพักถึงจะชินกับมันเลยครับ
แต่พอชินและใช้เป็นประจำแล้ว ขอบอกเลยว่าดีมาก ๆ ตื่นนอนมาหน้าดูอิ่ม ดูมีน้ำไม่แห้งกร้านเลย และที่สำคัญ เซ็บเดิร์มแทบไม่มาหาเลยครับ อย่างไรก็ตามทาแล้วหนักหน้ามากครับ ถึงจะชินก็ตามแต่ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายหน้าอยู่ตลอดเวลาที่ใช้เลย
8. ถ้ารักษาเซ็บเดิร์มด้วยสกินแคร์เอาไม่อยู่จริง ๆ ลองใช้ครีม Elomet

ราคาโดยประมาณ 120 บาท ต่อ 5 g
ครีม Elomet เป็นครีมที่มีส่วนผสมของ “สเตียรอยด์” ที่คนเป็นเซ็บเดิร์มต้องรู้จักกันแน่ ๆ เพราะเวลาไปหาหมอผิวหนังเพราะเซ็บเดิร์มทีไร ก็จะได้ครีมที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์มาทาตลอดครับ เหมือนกับเป็นยาวิเศษในการต่อสู้กับเซ็บเดิร์มเลย แต่มันก็เป็นดาบสองคมนะครับ เพราะถ้าทามาก ๆ จะทำให้หน้าติดสเตียรอยด์แล้วหน้าจะยิ่งพังมากกว่าตอนเป็นเซ็บเดิร์มอีกครับ
ผมจะมีครีม Elomet ติดไว้ที่บ้านอยู่เสมอ แต่จะพยายามไม่ใช้มันอย่างเด็ดขาด ยกเว้นในกรณีจำเป็นจริง ๆ เวลาที่เซ็บเดิร์มมันมาแล้วต้องพบปะผู้คนถึงจะทาครีม Elomet บาง ๆ เช้าเย็น และจะไม่ทาเกิน 2-3 วัน หรือพอหน้าเริ่มดีขึ้นจะหยุดใช้เลยครับ แต่ถ้าเซ็บเดิร์มมาแล้วผมไม่ต้องออกนอกบ้าน ก็จะพยายามทำให้มันหายโดยไม่ใช้ครีมตัวนี้ครับ
ซึ่งจากตัวผมเอง ถ้าทุกคนทำตามวิธีการด้านบนสุด 4 ข้อ คือ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทานมะเขือเทศ ทานแอปเปิล และดื่มน้ำอย่างเพียงพอ ถึงแม้เซ็บเดิร์มมันจะมา แต่แป๊บ ๆ มันก็จะหายไปเองโดยเราไม่ต้องทาครีมสเตียรอยด์เลยครับ
9. ออกนอกบ้านทาครีมกันแดดด้วย La Roche Posay Anthelios Shaka Fluid

ราคาโดยประมาณ 959 บาท ต่อ 50 ml
แดดเมืองไทยมันก็โหดสุด ๆ แล้วนะครับ และคนที่เป็นเซ็บเดิร์มดันทาครีมกันแดดไม่ค่อยได้อีก ผมก็ได้ลอง ๆ ใช้ครีมกันแดดหลาย ๆ ตัว มาจบลงที่ครีมกันแดดของ La Roche Posay Anthelios Shaka Fluid เพราะไม่มีส่วนผสมของพาราเบน น้ำหอม และแอลกอฮอล์ครับ และมีความอ่อนโยนต่อผิวมาก ๆ แต่ครีมกันแดดทาหน้าตัวนี้ ราคาโหดเอาเรื่องเลย ที่ยังต้องใช้เป็นเพราะว่า ใช้แล้วไม่แพ้ ไม่เกิดเซ็บเดิร์มเท่านั้นครับ
ส่วนเรื่องการกันแดดก็ต้องยอมกับ La Roche จริง ๆ เพราะผมใช้แล้วหน้าแทบไม่ดำ ไม่คล้ำขึ้นเลยครับ ดังนั้นสำหรับใครที่หน้ามีอาการเซ็บเดิร์มแล้วอยากหากันแดดดี ๆ ที่ใช้แล้วไม่แพ้ ผมก็ขอแนะนำ ครีมกันแดด La Roche Posay Anthelios 50 Mineral sunscreen ตัวนี้เลยครับ
สรุปวิธีการ “การใช้สกินแคร์รักษาเซ็บเดิร์ม” ของตัวผมเอง
ก็จากที่ได้มารีวิวถึงสกินแคร์และของที่ใช้ไปทั้งหมด 9 ตัว เอาจริง ๆ ผมก็ไม่ได้ใช้ทั้ง 9 ตัวทุกวันนะครับ จะมีบางช่วงใช้แบบหนึ่ง บางช่วงใช้อีกแบบ เลยอยากจะมาสรุปวิธีการต่อสู้เซ็บเดิร์มของผมให้ได้ดูกันครับ
1. สายประหยัดต่อสู้รักษาเซ็บเดิร์ม
- ล้างหน้าด้วย Eucerin pH5 Facial Cleanser แล้วทา Vaseline Pure Petroleum Jelly Original จบเลย หรือ
- ล้างหน้าด้วย Eucerin pH5 Facial Cleanser แล้วทาน้ำมันมะพร้าวเพลิน จากนั้นอยากจะตามด้วย Vaseline Pure Petroleum Jelly Original ก็ได้หรือไม่ต้องก็ได้ครับ
2. สำหรับคนที่มีงบเพิ่มเติม
- ล้างหน้าด้วย Eucerin pH5 Facial Cleanser แล้วตามด้วยน้ำตบ MizuMi Marine Sugar White Essence ปิดท้ายด้วยน้ำมันพร้าวเพลิน หรือ Vaseline Pure Petroleum Jelly Original ก็ได้หรือไม่ต้องก็ได้ครับ
- ล้างหน้าด้วย Eucerin pH5 Facial Cleanser แล้วตามด้วยน้ำตบ MizuMi Marine Sugar White Essence ปิดท้ายด้วยครีม Eucerin UltraSENSITIVE Repair Cream
3. สำหรับคนที่เป็นเซ็บเดิร์มแล้วมีงบแบบสุด ๆ
- ล้างหน้าด้วย Eucerin pH5 Facial Cleanser แล้วตามด้วยน้ำตบ MizuMi Marine Sugar White Essence จากนั้นตามด้วยเซรั่ม BIOTHERM LIFE PLANKTON™ ELIXIR แล้วปิดด้วยครีม Eucerin UltraSENSITIVE Repair Cream เวลาออกนอกบ้านก็ทากันแดด La Roche Posay Anthelios 50 Mineral sunscreen ครับ
ก็จบไปแล้วกับการรีวิววิธีการต่อสู้ รักษา “เซ็บเดิร์ม” ของผมที่อยู่คู่กับมันมาอย่างยาวนานถึง 10 กว่าปี แต่การต่อสู้นี้ยังไม่จบนะครับ ผมก็ยังต้องดูแลตัวเองต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้เซ็บเดิร์มมันกลับมา และอย่างที่บอกไป ต้องดูแลตัวเองจากภายในก่อนถึงจะดีที่สุด ถ้ายังดูแลตัวเองได้ไม่ดีละก็ ต่อให้สกินแคร์เทพขนาดไหนก็เอาเซ็บเดิร์มไม่อยู่ครับ
ถ้าเพื่อน ๆ คนไหนมีวิธีการจัดการกับเซ็บเดิร์มที่ดีกว่า หรือมีข้อเสนอแนะ ก็เสนอมาได้ที่ด้านล่างเลยนะครับ ผมและเพื่อนคนอื่น ๆ จะได้ลองไปใช้ดู และหวังว่าคนที่มีอาการเซ็บเดิร์มจะสามารถอยู่รวมกับมันอย่างมีความสุขได้ในที่สุดนะครับ