หึ ๆๆ ก็ถ้าคลิกเข้ามาอ่านที่บทความนี้ “ตาแห้ง แสบตา” ทำไงดี แสดงว่า กำลังมีปัญหากับดวงตาที่รู้สึกระคายเคือง เอะอะ ๆ เอาล่ะปวด ๆ เหมือนดวงตาดูแห้ง ๆ ขาดตความชุ่มชื้น รู้สึกเจ็บ ๆ ตา แอบรำคาญ จนต้องหลับตาข้างนั้น ๆ ไว้ตลอด หรือกระทั่งต้องหาผ้าปิดตามาปิดไว้ เพื่อพักการใช้งาน ทำให้ชีวิตลำบากกันมากเลยทีเดียว ก็บอกเลยว่า คลิกเข้ามาได้ถูกที่ถูกบทความแล้วล่ะครับ เพราะที่นี่ ทางผมจะมารีวิว “วิธีรักษาตาแห้ง” จากประสบการณ์จริง เจ็บจริง และได้ใช้จริง จนทำให้ดวงตารู้สึกดีขึ้น สบายตามากขึ้น และเหมือนทำให้ชีวิตไม่ต้องทนทรมานเรื่องตาแห้งกันแบบเดิม ๆ อีกต่อไป ตอนนี้คงอยากจะรู้กันแล้วสินะว่า มีวิธีการรักษาตาแห้งอะไรบ้าง ก็ตามมาเลยครับผม
สารบัญ
ก่อนไปดูรีวิว วิธีรักษาตาแห้ง ขอแนะนำให้หาความรู้เกี่ยวกับเรื่องอาการตาแห้งกันก่อน
ก็ถ้ารู้จักเจ้าอาการตาแห้งกันดีอยู่แล้ว ก็ข้ามผ่านหัวข้อนี้ไปได้เลยครับ แต่ถ้ายังไม่ชัวร์ อยากหาความรู้เพิ่มเติมล่ะก็ ทางผมขอแนะนำให้เข้าไปหาความรู้ที่เว็บของโรงพยาบาลกรุงเทพที่ลิงค์ด้านล่าง เพราะเป็นเว็บที่มีข้อมูลค่อนข้างละเอียด มีทั้งข้อมูลเรื่อง ตาแห้งคืออะไร ? มีภาพที่บ่งบอกถึงลักษณะของอาการตาแห้ง และสาเหตุของการเกิดตาแห้ง รวมไปถึงวิธีการรักษา ซึ่งเป็นวิธีที่ผมได้นำมาปรับใช้กับตัวเองด้วย ก็คิดว่า ทุก ๆ คนน่าจะได้ความรู้และเข้าใจถึงอาการตาแห้งกันมากขึ้น และหลังจากนี้ ก็ไปดูรีวิว วิธีรักษาตาแห้ง จากประสบการณ์จริง ของผมกันต่อเลยครับ
https://www.bangkokhospital.com/content/dry-eyes
รีวิว วิธีรักษาอาการ ตาแห้ง ตาแสบ จากประสบการณ์จริง
ก่อนอื่นต้องขอแจ้งให้ทุกคนทราบกันก่อนว่า วิธีการที่ผมใช้ต่อไปนี้ เป็นวิธีการที่ผมทำจริง ใช้จริง แล้วรู้สึกบรรเทาอาการปวดตาเนื่องจากตาแห้งได้จริง แต่ถ้าใครที่อ่านแล้วรู้สึกว่า โอเวอร์เกินไป ไม่น่าจะช่วยได้ หรือมีความเสี่ยง ก็ไม่ต้องทำตามกันนะครับ เพราะวิธีการของผม มันเป็นการบรรเทาอาการ รวมถึงวิธีรักษาอาจจะดีสำหรับผม แต่ไม่ดีสำหรับคนอื่นก็ได้ เอาเท่าที่สะดวกและสบายใจที่จะทำ เพื่อความปลอดภัยของตัวเองกันเนาะ อีกทั้งอยากจะขอฝากเพิ่มอีกเรื่องหนึ่งคือ ถ้าหากอ่านแล้ว ทำตามแล้ว แต่อาการตาแห้งไม่ดีขึ้น ยังรู้สึกปวดตาแบบเดิม ๆ ก็ต้องขอแนะนำให้ไปพบ “หมอตา” จะดีที่สุดครับ
1. ลดอาการตาแห้ง ด้วยการเปิดใช้งาน Night Shift ทั้งหน้าจอคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนตลอดทั้งวัน
ก็ด้วยยุคปัจจุบัน คงปฏิเสธกันไม่ได้นะครับว่า คนเรามีการใช้งานดวงตา สายตา กันมากขึ้น เพราะการมาของเจ้าคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนกันนั่นเอง ซึ่งเจ้าอุปกรณ์เหล่านี้ หากมีใครปรับหน้าจอให้ขาว ๆ ดูไบร์ท ๆ หรือปรับเรื่องของความสว่าง (Brightness) ที่สว่างจนเกินไป ก็จะยิ่งทำให้ดวงตารับภาระหนักมากยิ่งขึ้น อีกทั้งอุปกรณ์เหล่านี้ ยังปล่อย Blue Light หรือแสงสีฟ้า ที่จะช่วยกระตุ้นร่างกายให้ตื่นตัว แต่หากได้รับตอนกลางคืน ก็จะทำให้ร่างกายนอนไม่ค่อยหลับ รวมไปถึงแสงสีฟ้าจะมีการกระจายตัวของแสงได้ดีมาก จึงส่งผลให้ดวงตาได้รับแสงในปริมาณมาก แล้วทำให้ดวงตาอ่อนล้า ปวดตาได้ง่ายเช่นกันครับ
ดังนั้น เพื่อการถนอมสายตาในระยะยาว และเพื่อลดภาระของดวงตาจากการรับแสงจากที่อื่น ๆ เช่น แสงอาทิตย์, หลอดแสงไฟที่บ้าน หรือที่ต่าง ๆ แล้ว ผมจึงอยากแนะนำให้ทุกคนเปิดใช้งาน Night Shift ทั้งบนหน้าจอคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนตลอดทั้งวันครับ โดยการเปิด Night Shift จะทำให้หน้าจอสีมืดลง สีดูออกส้ม ๆ เหลือง ๆ ซึ่งจะไม่ค่อยสวย และไม่ค่อยสว่าง แรก ๆ อาจจะไม่ชิน แต่พอผ่านไปสักระยะ ดวงตาก็จะปรับสภาพได้ แล้วจะรู้สึกได้เลยว่า ดวงตาไม่ล้ามาก ลดอาการปวดตาได้แบบจริงจัง อีกทั้งไม่ต้องกลัวเรื่องแสงสีฟ้ากันอีกต่อไปครับ (ยิ่งถ้าเปิดหน้าจอแบบ Dark จะยิ่งดีขึ้นครับ)
2. รักษาอาการตาแห้งด้วยการใช้น้ำตาเทียม
วิธีการนี้ ถือเป็นวิธีการสำคัญมากก เพราะทำแล้วสามารถช่วยลดตาแห้ง ลดอาการปวดตา ได้แบบทันทีทันใดเลยทีเดียว ซึ่งใครที่มีอาการตาแห้งอยู่บ่อย ๆ หรือตาแห้งมากกกกก ก็ควรที่จะพกน้ำตาเทียมติดตัวไปตลอดทั้งวันครับ ส่วนจะเลือกซื้อน้ำตาเทียมยี่ห้อไหนดีนั้น เอาจริง ๆ จะใช้ยี่ห้อไหนก็ดี ส่วนใหญ่ดีกันทั้งหมด แต่ถ้าไม่รู้จะซื้อยี่ห้อไหนดี และจากประสบการณ์ของตัวเองที่ได้ใช้น้ำตาเทียมมา ก็ขอแนะนำตามยี่ห้อด้านล่างกันเลยครับ
ยี่ห้อ Rohto cool
ราคาโดยประมาณ 70-90 บาท ต่อ 1 ขวด
สำหรับยี่ห้อนี้ ที่ผมสนใจซื้อมาใช้ก็เพราะว่า เป็นน้ำตาเทียมจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องมาตรฐานและคุณภาพกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นวางใจได้ อีกทั้งยังมีส่วนผสมของสารบำรุงที่เยอะมาก เยอะกว่าน้ำตาเทียมหลาย ๆ ยี่ห้อ ไม่ว่าจะ วิตามินอี, วิตามินบี 6, โซเดียม(นาเทรียม) และโพแทสเซียม ที่แต่ละตัวก็จะมาช่วยบำรุงดวงตาให้มีสุขภาพที่ดีมากยิ่งขึ้น ส่วนราคาก็ไม่แพงเลย ตกขวดละประมาณ 70-90 บาท เท่านั้น และยังสามารถใช้งานได้นานถึงเดือนนิด ๆ ก็สำหรับผมที่ต้องหยอดน้ำตาเทียมเป็นประจำถือว่า ซื้อใช้ได้สบาย ๆ ไม่แพงจนเกินไปครับ
และขอแนะนำเพิ่มอีกนิด เพราะทางแบรนด์เขาจะมี 2 สูตรให้เลือกซื้อกันด้วยกันคือ ฝาสีส้ม จะมีความเย็นในระดับ 3 และฝาสีน้ำเงิน ความเย็นในระดับ 5 ก็จากที่ผมได้ลองใช้มา ถ้าอยากให้ดวงตารู้สึกเย็น ๆ สดชื่น ๆ ตื่นตัวกว่า หยดแล้วสะดุ้งกว่า ขอแนะนำให้เลือกซื้อฝาสีน้ำเงิน และโดยส่วนตัวใช้แล้วก็รู้สึกว่า ลดอาการปวดตา ระคายเคืองตา ลดอาการตาแห้งได้ดีมากก หยดแล้วก็ไม่แสบ สบายต่อดวงตาดี ราคาก็ไม่แพง จนเป็นยี่ห้อน้ำตาเทียมที่ผมชอบซื้อใช้เป็นประจำครับ
ยี่ห้อ Rohto Gold40
ราคาโดยประมาณ 275-300 บาท ต่อ 1 ขวด
ถ้าคิดว่า ใช้ Rohto cool แล้ว ยังไม่ดีพอ ยังลดอาการตาแห้งได้ไม่ดีเท่าไร ผมต้องขอแนะนำให้ลองยี่ห้อ Rohto Gold40 จากญี่ปุ่นกันเลยครับ เพราะเป็นยี่ห้อที่ผมได้ลองใช้แล้วพบว่า โหยยยย ดีงามมาก หยดแล้วตารู้สึกสดชื่น ลดการระคายเคืองได้ดีแบบสุด ๆ ดีกว่า Rohto cool ตัวด้านบนแบบรู้สึกได้ แต่ ๆๆๆ ต้องระวังกันนิดหนึ่ง เนื่องจากเป็นยี่ห้อที่หยดแล้ว แสบตา !! มากครับ ตอนผมหยดครั้งแรกคือ สะดุ้งเลย ให้ความรู้สึกเหมือนโดนเอายาหม่องมาป้ายตามากก แสบจนแบบว่า ทำอะไรลงไปเนี่ยย !!
แต่ถ้าใครทนได้ หรือเป็นพวกอาร์ทคชอบแสบ ๆ ขอบอกเลย หลังจากที่หยดและการออกฤทธิ์ค่อย ๆ เจือจางลงแล้ว จะพบได้เลยว่า ตาใสมากกก ดวงตาแบบชุ่มชื้น รู้สึกดีกันแบบสุด ๆ อาการตาแห้งกับปวดตาต่าง ๆ คือ หายไปเลย ดีเวอร์จนผมต้องยกให้เป็นน้ำตาเทียมยี่ห้อที่สุดจริง แต่อย่างไรก็ตาม ยี่ห้อนี้เขาทำออกมาสำหรับคนวัยกลางคน และมีราคาที่ค่อนข้างแพง ตกขวดละประมาณ 275-300 บาท ก็แพงกว่า Rohto cool หรือยี่ห้ออื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด ก็ขอแนะนำว่า ถ้าไม่ได้มีอาการปวดตาที่มากมายนัก แนะนำใช้ Rohto cool ก็พอครับ
ยี่ห้อ Alcon DURATEARS
ราคาโดยประมาณ 275-300 บาท ต่อ 1 ขวด
สำหรับตัวนี้ จะไม่ได้เป็นน้ำตาเทียมแบบเหลว ๆ เหมือนยี่ห้ออื่น ๆ แต่จะเป็นในรูปแบบขี้ผึ้ง ซึ่งพอเป็นขี้ผึ้งก็จะมีความเหนียวหนืดที่มากกว่า ใช้งานยากกว่า และไม่ได้รู้สึกดวงตาชุ่มชื้นแบบทันทีเหมือนพวกของเหลว แต่ขอบอกเลยว่า ตัวนี้ถือเป็นตัวเด็ด เป็นน้ำตาเทียมที่ผมใช้บ่อยมากกก เพราะตัวน้ำตาเทียมจะมีการสลายตัวที่ช้ากว่า จึงสามารถช่วยคงความชุ่มชื้นของดวงตากันได้แบบนาน ๆ และยังเหมาะสำหรับการใช้บำรุงช่วงเวลาที่นอนหลับอีกด้วย คือคงความชุ่มชื้นได้ดี จนบางทีตอนกลางวัน ผมหยิบแบบนี้มาใช้แทนแบบเหลว ๆ เลยครับ
และขอแนะนำเทคนิกการใช้กันเล็กน้อย เนื่องจากเป็นขึ้ผึ้ง มันก็จะหยด ๆ แบบพวกของเหลวไม่ได้ การจะใช้นิ้วมือไปป้ายขี้ผึ้งแล้วเอาไปแตะ ๆ ผิวดวงตา ก็ดูจะไม่ค่อยสะอาด และอาจจะทำให้ตาระคายเคืองได้ ซึ่งแรก ๆ ผมทำแบบนี้ ก็แอบรู้สึกแสบตานิด ๆ และไม่ค่อยสะดวกต่อการใช้เท่าไร หลัง ๆ จะใช้วิธีคือ เอาตรงหัวหลอดไปอยู่ใกล้ ๆ บริเวณใต้ตา หรือผิวหนังตาส่วนล่าง จากนั้นจึงค่อย ๆ บีบตัวขี้ผิ้ง ให้ขี้ผึ้งไปติด ๆ กับผิวดวงตาโดยตรง แล้วค่อย ๆ กะพริบตา ซึ่งตอนกะพริบตาจะรู้สึกเหมือนโดนของขาว ๆ ขุ่น ๆ มาเคลือบตา ไม่ต้องตกใจ เป็นขี้ผึ้งนั่นเองครับ
สรุปเรื่องการใช้น้ำตาเทียม รักษาอาการตาแห้ง กันสักนิด
ก็ถ้าคนที่มีอาการตาแห้งไม่หนักมาก การใช้แค่น้ำตาเทียมแบบเหลว ๆ ก็เพียงพอแล้วครับ
แต่ถ้าใครที่มีอาการตาแห้งมากก ค่อนข้างปวดตา ระคายเคืองตาบ่อย ก็ขอแนะนำให้ใช้ทั้งน้ำตาเทียมแบบเหลว ๆ และแบบขี้ผึ้ง โดยในระหว่างวัน ให้ใช้น้ำตาเทียมทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง หรือถ้ารู้สึกระคายเคือง ก็ควรหยดเลย ส่วนขี้ผึ้งก็ให้ใช้ก่อนนอนครับ (จริง ๆ มีน้ำตาเทียมแบบเจลด้วย ก็ไปหามาใช้เสริมในตอนกลางวันได้ครับ) ส่วนต้องใช้น้ำตาเทียมไปนานแค่ไหน บอกเลยว่า นานแน่นอน อย่างน้อย ๆ ก็ 1 เดือน ไปจนถึง 2-3 เดือน หรือจนกว่าอาการจะดีขึ้น และพอดีขึ้นแล้ว ก็ควรที่จะหยดน้ำตาเทียมแบบเหลว ๆ ต่อไป เพื่อป้องกันไม่ให้ตาแห้งกลับมาอีกครับ
3. ลดอาการ ตาแห้ง ตาแสบ ด้วยการทานอาหารเสริมบำรุงสายตา
สำหรับใครที่ตาแห้งมาก ปวดตาบ่อย ๆ วิธีการทานอาหารเสริมบำรุงสายตา ก็ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ควรทำมาก ๆๆ (แต่ถ้าคิดว่า ทานอาหารหลักที่มีสารบำรุงดวงตากันเยอะอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องทานอาหารเสริมเด้อ) ซึ่งถ้าอยากได้ความรู้เพิ่มเติมว่า สารอาหารอะไรช่วยบำรุงดวงตากันบ้าง รวมถึงมียี่ห้อไหนที่น่าสนใจ ที่น่าซื้อไปทาน ก็ขอแนะนำให้กดที่ปุ่มด้านล่าง เพื่อเข้าไปดูบทความ “วิตามินบำรุงสายตา” ยี่ห้อไหนดี กันได้เลยครับ
แต่ถ้าไม่อยากเสียเวลา อยากให้ผมแนะนำยี่ห้อให้ล่ะก็ ปกติผมจะซื้อยี่ห้อนี้ 21st Century จากสหรัฐอเมริกา รุ่น Healthy Eyes มาทานครับ โดยทางแบรนด์เขาก็จะมีแยกย่อยสูตรออกเป็น 3 สูตร คือสีฟ้า, สีทอง และสีส้ม ก็ถ้ามีอาการตาแห้งมาก ปวดตาหนักมาก แนะนำให้ซื้อสีทองมาทาน เพราะสารอาหารค่อนข้างจัดหนักและครบถ้วน แต่ถ้าอยากลองเริ่มทาน หรือไม่รู้จะซื้อสูตรไหนดี ขอแนะนำเป็นสีฟ้า เพราะเป็นตัวเริ่มแรก มีราคาที่ค่อนข้างถูก และมีสารอาหารที่ครบถ้วนเช่นกัน แต่ความเข้มข้นจะน้อยกว่าสีทอง ส่วนสีส้มจะเหมาะกับคนที่ดวงตาเจอแสงสีฟ้าบ่อย ๆ หรือพวกทำงานนั่งดูหน้าจอตลอดวันครับ
ราคาโดยประมาณ 150-280 บาท ต่อ 36-60 เม็ด
4. เพิ่มการถนอมสายตา ป้องกันตาแห้ง ด้วยการใส่แว่นกรองแสงสีฟ้า
ก็ถ้าใครไม่อยากใช้วิธีการข้อที่ 1 ที่ต้องเปิด Night Shift หรือถึงจะเปิดแล้ว แต่ก็อยากจะป้องกัน ถนอมดวงตา สายตาให้มากขึ้น ผมก็ขอแนะนำให้ใส่แว่นกรองแสงสีฟ้า เวลาที่ทำงานผ่านหน้าจอ เวลาที่เล่นมือถือ หรือเวลาที่ดูทีวี เพื่อช่วยให้ดวงตา ไม่ได้รับแสงสีฟ้าที่มากเกินไปครับ ส่วนจะซื้อแว่นกรองแสงสีฟ้ายี่ห้อไหนดีนั้น ก็เช่นเดิม อยากให้กดที่ปุ่มด้านล่างเพื่อเข้าไปดูบทความนี้กันโดยเฉพาะได้เลย
แต่ถ้าอยากให้แนะนำ ผมว่ายี่ห้อนี้ OPHTUS HOVER น่าสนใจมาก เพราะเป็นยี่ห้อที่ทำดีไซน์ออกมาได้สวย เรียบง่ายดี และการที่มีดีไซน์แบบเรียบง่าย ก็ทำให้ match กับการแต่งตัวในสไตส์ต่าง ๆ ได้ง่ายด้วย อีกทั้งตัวเลนส์ก็เป็น RETINA X CLEAR ที่สามารถช่วยกรองแสงสีฟ้าได้มากถึง 51 % ซึ่งดีกว่าเลนส์ทั่ว ๆ ไปถึง 3 เท่า เท่านั้นยังไม่พอ ยังเป็นยี่ห้อที่มียอดขายที่สูงมากถึงระดับ 1,300++ ในโลกออนไลน์ ซึ่งยอดขายขนาดนี้ ก็การันตีถึงคุณภาพและมาตรฐานกันได้ สุดท้ายราคาก็ไม่แพงมากจนเกินไป ยังพอลงทุนซื้อใช้งานกันได้แบบสบาย ๆ ครับ
ราคาโดยประมาณ 1,990 บาท
ก็จบไปแล้วกับการรีวิว “ตาแห้ง แสบตา” ทำไงดี พร้อมทั้งวิธีการรักษาตาแห้ง จากประสบการณ์จริงของผม ไม่ทราบว่าอ่านแล้ว มีข้อไหนที่น่าสนใจ ข้อไหนที่อยากจะลองเอาไปทำกันบ้างครับ ?? ก็จากทั้ง 4 ข้อที่ว่า ข้อแรกก็ดูจะทำง่ายสุด แค่ปรับ Setting ในคอมพิวเตอร์และมือถือเท่านั้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือดีงาม จนถ้าเปิดโหมด Night Shift กันจนชิน แล้วลองปิดโหมดมาดูหน้าจอ จะเห็นถึงความแตกต่างของแสงสว่าง จนรู้สึกถึงอาการปวดตาได้อย่างชัดเจนกันเลยทีเดียว ส่วนข้อที่ 2 เรื่องการใช้น้ำตาเทียม อันนี้เป็นข้อบังคับที่ยังไงก็ต้องทำ ส่วนข้อ 3 อาหารเสริม และข้อ 4 แว่นกรองแสง จะทำหรือไม่ทำก็ได้ แต่ถ้าทำก็จะดีต่อดวงตามากที่สุด ซึ่งถ้านึกถึงระยะยาวของสุขภาพของดวงตากันแล้ว ก็ทำกันเถอะครับผม
บรรณาธิการที่มีประสบการณ์ในการเขียนรีวิวสินค้าหลายชนิด
- สุขภาพ: อาหารเสริม, ออกกำลังกาย, การดูแลผิวพรรณ
- เครื่องใช้ไฟฟ้า: สมาร์ทโฮม, เครื่องใช้ในครัว, เครื่องใช้ในบ้าน, และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ
- ของกิน: ขนมหวาน เครื่องดื่ม, อาหารสุขภาพ, และเทรนด์อาหารอื่น ๆ