น้ำมันเครื่องเบนซิน ยี่ห้อไหนดี รวมมาแล้ว รีวิว 8 ยี่ห้อ

น้ำมันเครื่องเบนซิน เป็นอีกส่วนสำคัญของที่คนขับรถต้องคำนึงถึง และควรที่จะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อถึงเวลาที่ควรจะเปลี่ยนถ่าย โดยน้ำมันเครื่องเบนซินที่มีคุณภาพดีจะช่วยป้องกันการสึกหรอของเครื่องยนต์ ช่วยประหยัดน้ำมันในการวิ่งมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้เครื่องยนต์สะอาดอยู่เสมอ ใครที่ลืมเปลี่ยนนาน ๆ พอเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแล้ว จะรู้สึกได้ถึงเครื่องยนต์มีความแรงเพิ่มขึ้น แล้วแบบนี้ จะเปลี่ยนไปใช้น้ำมันเครื่องเบนซินยี่ห้อไหนดี ? ลองไปอ่านรีวิวกันเลยครับ



วิธีการเลือกซื้อ น้ำมันเครื่องเบนซิน

1. เกรดของน้ำมันเครื่อง

หลัก ๆ ที่หาซื้อได้จะมีอยู่ 3 เกรดด้วยกันคือ เกรดธรรมดา, กึ่งสังเคราะห์ และสังเคราะห์แท้ 100% ซึ่งตัวสังเคราะห์แท้จะมีคุณภาพของน้ำมันเครื่องดีที่สุด ช่วยเพิ่มสมรรถนะของรถได้ดีที่สุด และมีราคาที่แพงที่สุดด้วยเช่นกัน ถ้าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา ควรใช้น้ำมันเครื่องเกรดสังเคราะห์แท้ 100% แต่ถ้าอยากประหยัดลงมาก็ใช้เกรดกึ่งสังเคราะห์ก็ได้ครับ แต่ไม่แนะนำให้ใช้เกรดธรรมดา เพิ่มเงินอีกนิดเดียวซื้อกึ่งดีกว่า

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าน้ำมันเครื่องคนละยี่ห้อจะอยู่ในเกรดเดียวกันก็ตาม เช่น เกรดสังเคราะห์แท้ 100% ของยี่ห้อ PTT กับ Shell แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า น้ำมันเครื่องทั้งสองจะมีดีเท่ากัน มีคุณภาพเท่ากันนะครับ มันขึ้นอยู่กับ สูตรและสารเติมแต่งของใครของมันด้วย

ส่วนเรื่องเวลาที่ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ส่วนใหญ่ช่างเขาจะแนะนำมาว่า ถ้าเกรดสังเคราะห์แท้ควรเปลี่ยนถ่ายที่ 10,000 กิโล, กึ่งสังเคราะห์ที่ 7,000 กิโล และเกรดธรรมดาที่ 5,000 กิโล แต่เอาจริง ๆ ก็ดูตามคู่มือของรถยนต์นั้น ๆ ดีกว่าว่า ควรเปลี่ยนเมื่อไร หรือมีเงื่อนไขอย่างไรครับ

หลายคนอาจจะสงสัย ถ้าเป็นรถวิ่งน้อยมาก ไม่ค่อยได้ใช้เลย ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหรือไม่? ถ้าอยากถนอมเครื่องยนต์ก็ควรเปลี่ยนครับ เพราะว่าเมื่อเปิดกระป๋องของน้ำมันเครื่องแล้ว ตัวน้ำมันมีโอกาสจะสัมผัสกับไอน้ำในอากาศได้ แล้วเมื่อน้ำผสมกับน้ำมันมากขึ้น น้ำก็จะกลายเป็นตะกอนเหนียว แล้วทำให้ความหนืดของน้ำมันสูงขึ้น เมื่อความหนืดของน้ำมันสูงขึ้นก็จะทำให้เครื่องอืด ๆ ขับไม่สนุกเหมือนเดิม และยังมีโอกาสในการเกิดสนิมอีกด้วย ดังนั้นถ้าใช้รถน้อยมากและระยะทางไม่ถึงเกณฑ์ แต่ครบ 6 เดือน ก็ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องครับ

2. ค่าความหนืดของน้ำมันเครื่อง

หลาย ๆ คนน่าจะเคยเห็นตัวเลข เช่น 0W-30, 5W-30 หรือ 10W-40 เป็นต้น ตัวเลขเหล่านี้จะบ่งบอกถึงความหนืดของน้ำมันครับ โดยตัว W คือตัวย่อของคำว่า WINTER หรือ ฤดูหนาวนั้นเอง ส่วนตัวเลขด้านหน้าตัว W เช่น 0W, 5W ยิ่งมีค่าน้อยยิ่งสามารถใช้งานในสถานที่ที่มีอุณหภูมิต่ำ ๆ ได้ อย่าง 0W จะสามารถใช้น้ำมันเครื่องตัวนี้ในที่ติดลบ -30 องศาเซลเซียสได้เลย แต่ส่วนใหญ่คนไทยเราจะไม่สนใจตัวเลขด้านหน้าเท่าไรนัก เพราะสภาพอากาศบ้านเรามันมีแต่ร้อน ๆๆๆ นะครับ

บ้านเราจึงสนใจแต่ตัวเลขด้านหลังกันมากกว่า ส่วนใหญ่จะเจอ 20, 30, 40 และ 50 โดยตัวเลขน้อย ๆ อย่าง 20 และ 30 น้ำมันเครื่องจะมีความหนืดน้อยและมีความใส เหมาะสำหรับรถคันใหม่ ๆ ที่ยังวิ่งไม่มาก ส่วนตัวเลขยิ่งมากอย่าง 40 และ 50 น้ำมันเครื่องก็จะมีความหนืดมากขึ้น เหมาะสำหรับรถที่วิ่งมานาน ได้หลายกิโลเมตร หรือรถที่มีเครื่องยนต์เก่ามาก ๆ แล้วครับ

แล้วอย่างนี้จะเลือกใช้เบอร์อะไรดี? ให้ดูตรง คู่มือของรถยนต์นั้น ๆ เป็นหลัก และเลือกใช้น้ำมันเครื่องเบอร์ให้ตรงกับที่คู่มือบอกจะดีที่สุด ตัวอย่างเช่น ถ้าคู่มือบอกว่า ให้ใช้ 5W-30 ก็ควรใช้เบอร์ 30 เป็นเกณฑ์ในการเลือกซื้อ แล้วเมื่อไรถึงควรจะเพิ่มเบอร์น้ำมันเครื่อง? ส่วนใหญ่ช่างจะแนะนำให้ วิ่งเกินแสนโลแล้วค่อยเปลี่ยนเบอร์ หรือเมื่อเครื่องเริ่มหลวม มีอาการสึกหรอ มีอาการกินน้ำมันเครื่อง ก็ควรขยับเบอร์น้ำมันเพิ่มอีก 1 เบอร์ เช่น จาก 30 เป็น 40 เป็นต้นครับ

3. ค่ามาตรฐาน หรือค่า API (American Petroleum Institute) 

โดยลักษณะการเขียนจะอยู่ในรูปแบบ API-SL, API-SM, API-SN หรือ API-SP เป็นต้น โดยตัว S จะหมายถึงเครื่องยนต์เบนซิน ส่วนตัวหลังสุดจะหมายถึง มาตรฐานของน้ำมันเครื่องนั้น ๆ ยิ่งตัวอักษรยิ่งมาก จะยิ่งมาตฐานสูง คุณภาพน้ำมันยิ่งดี ซึ่งในปัจจุบันตัว P คือ ตัวมาตรฐานล่าสุด ที่เหมาะสมกับเครื่องโทเบอร์ ส่วนรุ่นทั่วไปก็ N ก็ยังใช้ได้ดีครับ

ก่อนเลือกซื้อน้ำมันเครื่องของรถแต่ละคันแนะนำให้ อ่านคู่มือของรถแต่ละรุ่น จะได้เลือกได้ถูกต้อง แล้วยังช่วยทำให้เราสามารถดูแลรักษาเครื่องยนต์ได้ดีขึ้น รถจะได้อยู่กับเราไปนาน ๆ อีกด้วย แถมปัจจุบันเริ่มมีมาตรฐานใหม่ ๆ อย่าง dexos 2 และ ILSAC GF-6A,GF-6B มาให้ชวนงงอีก แนะนำอ่านคู่มือรถจะชัวร์ที่สุดครับ

อ้างอิง API.ORG

ส่วนถ้าใครอยากอ่านรีวิวของน้ำมันเครื่องดีเซล ทาง PlusAround ก็มีรีวิวเหมือนกันนะครับ เข้าไปอ่านที่ด้านล่างได้เลย


ตารางเปรียบเทียบรวมรีวิว “น้ำมันเครื่องเบนซิน” ยี่ห้อไหนดี

สำหรับใครที่ไม่ค่อยมีเวลาอ่านเนื้อหาของน้ำมันเครื่องเบนซินแต่ละตัว แต่ละยี่ห้อ หรืออยากจะดูตารางเปรียบเทียบไปเลย ก็สามารถกดเข้าไปดูได้ที่ปุ่มด้านล่างครับ



1. น้ำมันเครื่องเบนซิน IDEMITSU SN SAE 5W-40 FULLY SYNTHETIC

ราคาโดยประมาณ 1,800 – 2,300 บาท ต่อ 4 ลิตร

( เริ่มต้นที่เกรดพรีเมี่ยมขึ้นไป )

อิเดมิตสึเป็นน้ำมันเครื่องระดับเวิลด์คลาสจากประเทศญี่ปุ่น ที่มีวางขายทั่วโลก ด้วยสโลแกน “แกร่งไปให้สุด” มีจุดเด่นที่พัฒนาสูตรให้เหมาะสมสำหรับการใช้งานหลากหลายประเภทมาก ๆ จากประสบการณ์ของผู้ใช้น้ำมันเครื่อง Idemitsu ให้ความเห็นว่า ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้ราบรื่น ลดการสึกหรอ ประหยัดน้ำมันได้จริง


Idemitsu IFG7 0W-20 SP/GF-6A เป็นน้ำมันเครื่องเบนซิน สังเคราะห์แท้ 100% ที่มีจุดเด่นตรงที่รองรับมาตรฐาน API SP เมื่อเปรียบเทียบกับยี่ห้ออื่น ๆ ที่ยังรองรับเพียงแค่ SN ซึ่งเก่ากว่า เหมาะสำหรับรถยนต์ Hybrid และ ECO Car แถมยังรองรับมาตรฐาน ILSAC GF-6A ให้ประสิทธิภาพเครื่องยนต์แรงสม่ำเสมอ พร้อมกับช่วยปกป้องเครื่องยนต์ รักษาความสะอาดของลูกสูบ ป้องกันการสึกหรอ เหมาะกับสภาพการจราจรติดขัด รวมถึงรถมีระยะการใช้งานสูง ให้พลังขับเคลื่อนสูงสุด แล้วยังประหยัดเชื้อเพลิงได้ดีเยี่ยมอีกด้วย


นอกจากนี้ยังมีสูตร IFD7 5W-30 C3 ที่ผ่านมาตรฐาน ACEA C3 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล เป็นสูตรลดกำมะถัน Mid SAPS ที่เหมาะรถดีเซลที่มีระบบฟอกไอเสีย EGR และ DPF เวลาซื้อแนะนำให้ดูรหัสให้ดี เนื่องจากสีแพ็คเกจมีความใกล้เคียงกับตัวเบนซินครับ

เกรดน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ 100%
ค่าความหนืด0W-20
ผ่านมาตรฐานAPI-SP / GF-6A

2. น้ำมันเครื่องเบนซิน PTT PERFORMA SUPER SYNTHETIC

ถ้าพูดถึงเรื่อง “น้ำมันเครื่องเบนซิน” จะไม่พูดถึงยี่ห้อ PTT ไม่ได้เลยครับ เพราะเป็นยี่ห้อที่มีการพูดคุยและถกเถียงกันมากในอินเทอร์เน็ต อีกทั้งยังได้รับความนิยมสูง เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องของรถยนต์ และ PTT เองก็มีน้ำมันเครื่องหลายเกรดให้เลือกซื้อด้วย โดยตัวที่ผมอยากจะเอามาพูดคุยกันในวันนี้ก็คือ PTT PERFORMA SUPER SYNTHETIC ที่หลายคนน่าจะเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วนะครับ

ซึ่งน้ำมันเครื่องตัวนี้ ได้พัฒนาสูตรให้ดียิ่งขึ้นด้วยการเติมสาร Additive เพิ่มเติม ทำให้มีประสิทธิภาพที่ดีกว่า โดยฉลากตรงกระป๋องจะมีคำว่า “super” ติดอยู่ จากสูตรก่อนหน้าที่ไม่มี และมีหลายคนรีวิวไว้ว่า ถ้าเทียบน้ำมันเครื่องเบนซินในเกรดเดียวกันกับยี่ห้ออื่นแล้ว SUPER SYNTHETIC ยังคงสู้ยี่ห้ออื่นไม่ได้ ตัวน้ำมันลื่นดีอยู่ แต่คงประสิทธิภาพได้ไม่นาน ถ้ายิ่งใช้งานรถหนัก ขับเร็ว ขับบ่อย หรือขับทางไกล จะรู้สึกถึงความแตกต่างการทำงานของเครื่องยนต์ได้อย่างชัดเจน โดยรวมประสิทธิภาพกลาง ๆ ครับ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า SUPER SYNTHETIC จะไม่ใช่น้ำมันเครื่องที่ดีที่สุด แต่ที่หลาย ๆ คนยังสนใจและหันมาใช้น้ำมันเครื่องตัวนี้เป็นเพราะว่า ได้ใช้น้ำมันเครื่องเกรดสังเคราะห์แท้ 100 % ในราคาที่ถูกกว่ายี่ห้ออื่น ๆ ซึ่งทำให้ช่วยประหยัดเงินได้มากและคุณภาพก็ยังใช้ได้ดี ไม่มีปัญหาอะไรให้กวนใจมากนัก ถ้าใช้รถแบบบ้าน ๆ สบาย ๆ ไม่หนักมาก การใช้น้ำมันเครื่องตัวนี้ก็เป็นไอเดียที่ดีครับ

เกรดน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ 100%
ค่าความหนืด0W-30 / 0W-40
ผ่านมาตรฐานAPI-SN

3. น้ำมันเครื่อง CALTEX Havoline ProDS ECO 5

สำหรับน้ำมันเครื่อง CALTEX Havoline ProDS ECO 5 เป็นอีกตัวที่มีการพูดถึงกันมากในอินเทอร์เน็ต และเป็นน้ำมันเครื่องเกรดสังเคราะห์แท้ 100% เหมือนกับ PTT PERFORMA SUPER SYNTHETIC ตัวด้านบน ทำให้ทั้ง 2 ตัวจะชอบถูกเปรียบเทียบคุณภาพกันครับ

จากการที่ไปอ่านรีวิวของผู้ที่ได้ทดลองใช้ทั้ง PTT กับ CALTEX พวกเขาต่างบอกกันว่า โดยรวมแล้วน้ำมันเครื่องเบนซินของ CALTEX ดีกว่า โดยสังเกตจากเสียงเครื่องยนต์ที่เงียบกว่า และในการขับเส้นทางเดิม ๆ ทุกอย่างเหมือนเดิม น้ำมันเครื่อง CALTEX ช่วยประหยัดน้ำมันได้ดีกว่า ส่วนในเรื่องการขับขี่ก็ลื่นมาก แค่เปลี่ยนน้ำมันเครื่องช่วงแรกรถก็ลื่นแล้ว ขับลากไป 7,000 กิโลเมตรก็ยังลื่นอยู่ และยังลากไปที่หมื่นโลได้สบาย ๆ ในขณะที่ PTT เหมือนเครื่องจะสั่น ๆ ตั้งแต่ 7,000 โลแล้วครับ

อ่าน ๆ ดูแล้วเหมือน CALTEX Havoline ProDS ECO 5 จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า PTT นะครับ แต่ ๆๆๆ คุณภาพที่ดีกว่าก็ยอมแลกมากับราคาที่แพงกว่าเช่นกัน ในขณะที่ PTT จะตกลิตรละประมาณ 188 บาท CALTEX นั้นจะตกที่ลิตรละประมาณ 338 บาท ซึ่งคิดแล้วเป็นเงินเกือบ 2 เท่าของ PTT เลยนะครับ และถ้าไปหาซื้อตามร้านหรือศูนย์เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องอาจจะหาซื้อยากหน่อย แนะนำให้สั่งซื้อออนไลน์ร้านที่น่าเชื่อถือครับ

เกรดน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ 100%
ค่าความหนืด5W-30 
ผ่านมาตรฐานAPI-SN

4. น้ำมันเครื่องเบนซิน Mobil 1

น้ำมันเครื่องเบนซิน Mobil 1 เป็นน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ 100% อีก 1 ตัวที่ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า คุณภาพนั้นสุดยอด และยังมีหลายคนคอนเฟิร์มด้วยว่า Mobil 1 นั้น ดี ดีมาก และดีจริง ๆ สมกับเป็นน้ำมันเครื่องนำเข้าจาก USA ผมจึงไม่พลาดที่จะไปอ่านรีวิวของน้ำมันเครื่องตัวนี้ แล้วนำมาให้ได้ชมกันครับ

มีหลายคนบอกเลยว่า รถของพวกเขาได้ใช้น้ำมันเครื่องศูนย์แล้วรู้สึกว่าเครื่องมันอืด ๆ ช้า ๆ รถหน่วง ๆ คันเร่งก็หนัก และเสียงเครื่องก็ดังด้วย แต่พอเปลี่ยนมาใช้ Mobil 1 แล้ว ความรู้สึกมันแตกต่างมาก ๆ ไม่ว่าจะเรื่องของเครื่องยนต์ที่ทำงานได้เงียบมากขึ้น เครื่องก็ไม่สั่นเลย คันเร่งก็เบามาก เร่งเครื่องได้แบบสบาย ๆ ขับขี่สนุกมากขึ้น วิ่งแบบไหล ๆ ทำความเร็วได้ดีเลยครับ เพียงแค่เปลี่ยนน้ำมันเครื่องเป็น Mobil 1 เท่านั้นเอง

อีกทั้งยังทนความร้อนได้ดีมาก ๆ ในระดับคุณภาพน้ำมันเกรดเดียวกัน สามารถวิ่งเกินหมื่นโลได้แบบสบาย ๆ และมีคนได้ทดลองใช้ระหว่าง PTT กับ Mobil 1 เสียงส่วนใหญ่ต่างบอกกันว่า Mobil 1 ชนะขาด ทั้งด้านคุณภาพของน้ำมันและด้านราคาด้วย! โดย Mobil 1 จะตกลิตรละประมาณ 439 บาท ซึ่งแพงกว่า PTT ถึง 2 เท่า ถ้าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา และรู้สึกว่าน้ำมันเครื่องที่ใช้อยู่ไม่ตอบโจทย์ ลองเปลี่ยนมาใช้ Mobil 1 สิครับ

เกรดน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ 100%
ค่าความหนืด5w30 / 0W40 / 5W50
ผ่านมาตรฐานAPI-SN


5. น้ำมันเครื่อง Shell HELIX ULTRA

ได้ลองดูรีวิวของน้ำมันเครื่อง Mobil 1 กันไปแล้ว ต้องลองมาดูของ Shell HELIX ULTRA ที่เป็นมวยคู่ปรับกันบ้าง ซึ่งมีหลายคนเลยที่ชอบเอาน้ำมันเครื่อง 2 ตัวนี้มาเปรียบเทียบกัน ส่วนหนึ่งเพราะเป็นน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ 100% ที่มีเกรดและคุณภาพอยู่ในระดับเดียวกันนั้นเองครับ

โดยมีหลายเสียงเลยบอกว่า เป็นน้ำมันเครื่องที่ทำออกมาได้ดีทั้งคู่ ใช้กับรถแล้วให้ความรู้สึกที่ไม่ค่อยแตกต่างกันเลย ขับไหลลื่น ๆ เครื่องก็เงียบด้วย แต่ถ้าขับรถแรง ๆ หนัก ๆ ทำรอบสูง ๆ Mobil 1 จะดีกว่า ขับได้ลื่นกว่า โดย Shell ให้ความรู้สึกว่า เมื่อขับรถถึงประมาณ 2,000 km ความลื่นในการขับไม่เหมือนเดิม ส่วน Mobil 1 จะรู้สึกความลื่นลดลงเมื่อถึงตอน 7,000 km ครับ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า Mobil 1 จะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าตลอดอายุการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง แต่ก็มีหลายคนเลือกที่จะใช้ Shell เพราะเรื่องของราคานั้นเอง ส่วนใหญ่ Shell จะมีราคาที่ถูกกว่า Mobil 1 และชอบมีจัดโปรโมชั่นเวลาซื้อด้วย แต่เอาจริง ๆ ก็ลองใช้น้ำมันเครื่องทั้ง 2 ตัวเลยสิครับ จะได้รู้เลยว่า ตัวไหนเหมาะสมกับรถของคุณมากที่สุด

เกรดน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ 100 %
ค่าความหนืด0W-20 / 0W-40
ผ่านมาตรฐานAPI SN

6. น้ำมันเครื่องเบนซิน PTT PERFORMA SEMI-SYNTHETIC

เจอแต่น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ 100% เข้าไป อาจจะอยากเห็นน้ำมันเครื่องเกรดอื่น ๆ กันบ้างใช่ไหมล่ะครับ งั้นลองมาดูตัวนี้เลยกับ PTT PERFORMA SEMI-SYNTHETIC เป็นน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ที่คุณภาพอาจจะสู้พวก 4 ตัวบนไม่ได้ แต่ก็ได้รับความนิยมในการใช้เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องอยู่นะครับ เหตุผลหลัก ๆ เลยก็คือ PTT เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว และราคาก็ถูกมาก ยิ่งเทียบกับสังเคราะห์แท้ด้วยแล้ว ราคาถูกกว่าครึ่งต่อครึ่ง

โดยรวมก็เป็นน้ำมันเครื่องเบนซินที่สามารถใช้งานได้ดี ใช้ได้ปกติ แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เหมาะสำหรับรถที่ขับมานานมากกว่าหลายแสนโล และขับแบบบ้าน ๆ ง่าย ๆ ชิล ๆ ไม่ได้ใช้งานรถหนักมากนักครับ และยังเหมาะสำหรับคนที่อยากประหยัดเงินอีกด้วย เมื่อลองเทียบ PTT ตัวสังเคราะห์แท้ที่ลิตรละประมาณ 187.50 บาท ตัวนี้จะตกที่ลิตรละ 145 บาท เท่านั้นเอง แต่ถ้ามีเงินเหลือ ๆ ก็เล่นพวกเกรดสังเคราะห์แท้ดีกว่า ไม่ต้องคิดมากให้ปวดหัวด้วยครับ

เกรดน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์
ค่าความหนืด10W-40
ผ่านมาตรฐานAPI SN

7. น้ำมันเครื่อง Vavoline MAXLIFE

ไหน ๆ ก็พูดถึงน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ของ PTT ไปกันแล้ว มาดูน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์กันอีกสักตัวดีกว่าครับกับ Vavoline MAXLIFE ที่หลาย ๆ คนต่างบอกกันว่า เป็นตัวที่ดีในระดับต้น ๆ ของน้ำมันเครื่องเกรดกึ่งสังเคราะห์เลย แต่สำหรับน้ำมันเครื่องตัวนี้ จะไม่เหมาะกับรถใหม่ ๆ นะครับ ซึ่งทางแบรนด์เอง เขาได้ออกแบบมาสำหรับรถที่ค่อนข้างเก่าและตัวเครื่องยนต์ก็เริ่มหลวมแล้ว อีกทั้งตรงกระป๋องเขาระบุไว้เลยว่า เหมาะกับรถที่วิ่งเกิน 95,000 โลแล้วครับ

และจากการที่ได้ไปอ่านรีวิวของหลาย ๆ คนมา มีหลายเสียงบอกว่า หลังจากเปลี่ยนมาใช้น้ำมันเครื่องตัวนี้แล้ว รู้สึกได้เลยว่า อัตราเร่งแย่ลง ตอนออกตัวของรถก็จะอืด ๆ ด้วย ไม่ค่อยสมูทเท่าไร แต่เหมือนเครื่องยนต์ทำงานได้ดีขึ้น แน่นขึ้น เสียงก็ไม่ดังแปลก ๆ ด้วย และถ้าขับรถทางไกล ๆ เหมือนความเร็วจะลดช้าลงด้วย ทำให้ช่วยประหยัดน้ำมันได้ดีขึ้น โดยรวมแล้วคุณภาพใช้ได้ดีกว่าน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ของศูนย์ และราคาค่อนข้างสมเหตุสมผล ใครที่มีรถค่อนข้างเก่าแล้ว และอยากประหยัดเงินค่าน้ำมันเครื่อง ก็ลอง Vavoline MAXLIFE ได้นะครับ

เกรดน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์
ค่าความหนืด10W-40 
ผ่านมาตรฐานAPI SN

8. น้ำมันเครื่องเบนซิน FURiO F1

เจอกับน้ำมันเครื่องเบนซินของปั๊ม PTT ปั๊ม Shell กันไปบ้างแล้ว คราวนี้ลองมาดูของปั๊มบางจากกันบ้างดีกว่าครับกับตัว FURiO F1 ที่เป็นน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ 100% ที่ได้มาจากน้ำมันพื้นฐานคุณภาพสูง และถูกพัฒนาขึ้นด้วย Respoplex Technology ซึ่งเป็นเทคโนโลยีโมเลกุลอัจฉริยะ ที่จะมาช่วยเคลือบผิวของเครื่องยนต์ จึงช่วยป้องกันและลดการสึกหรอได้ดี และ FURiO F1 ยังมีค่าความหนืดครบสามเบอร์ 0W-20, 5W-30 และ0W-40 ให้เลือกซื้อกันด้วย

ส่วนราคาก็ไม่แพงมาก มีราคาพอ ๆ กับน้ำมันเครื่อง PTT สังเคราะห์แท้ตัวด้านบนสุด และจากรีวิวของหลาย ๆ คน ต่างก็บอกกันว่า ตั้งแต่เปลี่ยนถ่ายมาใช้ FURiO F1 ของบางจากแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างจาก PTT เลย ขับแบบเดิม ๆ ก็รู้สึกเหมือนเดิม ๆ ด้วย จึงพอ ๆ พูดได้ว่า ทั้งสองยี่ห้อมีคุณภาพที่พอ ๆ กันครับ

เกรดน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ 100 %
ค่าความหนืด0W-20 / 5W-30 / 0W-40
ผ่านมาตรฐานAPI SN

เป็นยังไงกันบ้างครับ กับรีวิว “น้ำมันเครื่องเบนซิน” ยี่ห้อไหนดี ที่ได้ไปรวบรวมมาให้อ่านกันถึง 7 ยี่ห้อด้วยกัน แต่ละตัวที่ยกมาให้ดูนั้น เป็นน้ำมันเครื่องที่มีการพูดถึงกันมาก และได้รับความนิยมค่อนข้างสูงเลยครับ ถ้ารถยนต์ยังใช้น้ำมันเครื่องยี่ห้อไม่ค่อยดี หรือน้ำมันเครื่องของศูนย์แล้วรู้สึกว่า ขับรถไม่นิ่ม ไม่สนุก เหมือนเครื่องยนต์มันอืด ๆ ก็ลอง ๆ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเป็น 1 ใน 7 ตัวที่รีวิวด้านบนก็ดีนะครับ ยังไงก็หวังว่า พอเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องแล้ว จะได้ขับรถแบบนิ่ม ๆ ไหล ๆ สมูท ๆ พร้อมทั้งขับรถมีความสุขปตลอดเส้นทางด้วยนะครับ



Leave a Comment